นี่ก็ไม่ใช่ใคร เพื่อนที่รู้ใจมนุษย์เรานี่เอง หมา หรือว่าสุนัขที่แสนซื่อสัตว์ และรักเจ้าของจนวันตายนี่หล่ะ
การชำแหละหมาข้างถนนเป็นเรื่ องปกติของคนที่นั่น
เนื้อจระเข้เข้าไปวางขายในห้างอย่างหรูหรา ความแค้นพยาบาทฝังไว้ใน
ชิ้นส่วนต่างๆของมันถูกซอยชำแหละให้คนที่ถูกใจเลือกหยิบไปที่ละชิ้นๆ จนเนื้อชิ้นสุดท้ายของมัน
นี่คือ อุ้งตีนหมี นี่หรือคือมนุษย์ผู้ประเสริฐและเจริญ ต้องการความสุขแค่วูบเดียวของตนจนต้องเบียนเบียนทั้งชีวิตผู้อื่นเพียงแค่สนองตัณหา
สมองลิง เขาว่าต้องกินกันสดๆ ตอนที่เปิดกระโหลกมันใหม่ๆ หรือว่ายังไม่ตาย
จะยิ่งเพิ่มสรรพคุณยิ่งกว่ายาใดๆ อะไรหนอทำให้คิดได้อย่างนั้น ? คนเราตาบอดยังไม่เท่าคนใจบอด
ลิ้นของคนเรายาวที่สุดในโลก และร้ายกาจที่สุด มันหดตัวอยู่แค่ 3 นิ้ว แต่ความร้ายกาจของมันสามารถตวัดชีวิตที่อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก เข้ามาอยู่ในปากได้
นี่คือกวาง สัตว์ที่มีนัยย์ตาอ่อนหวานและไม่ทำร้ายมนุษย์ผู้ใด แต่มันกลับถูกมนุษย์ทรยศ เอาชีวิตเลือดเนื้อเขามาเป็นอาหาร
อันนี้เป็นตีนเสือโคร่ง ดูสภาพสิคนปกติจะกินลงมั๊ยล่ะ
ลิงพวกนี้ช่างน่าสงสาร พากันส่งเสียงร้องขอชีวิตอย่างโหยหวน ทำไมหนอมนุษย์ต้องทำกับเขา้อย่างเลือดเย็น เพราะไม่เคยรู้ว่าความทุกข์ความเจ็บปวดนั้นคนและสัตว์ไม่ต่างกันเลย
v
v
V
อร่ิอยลิ้นยินดีเหลือเพื่อรสปาก
ถึงกับพรากชีวิตเขาเศร้าใจไหม
กว่าจะรู้ว่าบาปกรรมทำเท่าไร
ต้องลงไปชดใช้กรรมให้จำทน
จึงต้องเร่งบำเพ็ญเช่นพุทธะ
อีกต้องละชีวิตเขาเอากุศล
เปิดเมตตาให้สว่างกลางกมล
เพื่อหลุดพ้นการเวียนว่ายได้นิพพาน
วันนี้เราทุกคนนั้นไปวัด ไปทำอะไรบ้าง ?
ใช่หรือไม่ว่า ไปฟังธรรม... ไปปฏิบัติตามคำสั่งสอน...
แล้วในขณะที่เรานั้นไปวัด เราไปด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือไม่ ในขณะที่เราพาตัวไปวัด ใช่หรือไม่ว่าต้องชำระกายเราให้สะอาดก่อน ต้องนุ่งผ้าอย่างเรียบร้อย จะต้องนุ่งขาวห่มขาว ใช่หรือไม่?...
วันนี้เราทุกคนไปวัด ไปฟังธรรม ใช่หรือไม่ไปปฏิบัติตามคำสั่งสอน เราไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต้องชำระกายเราให้สะอาด ต้องนุ่งขาวห่มขาว...
ขอถามว่า เรานั้นเมื่อไปถึงวัดแล้วได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน อย่างที่เราสวมชุดขาวหรือไม่ ตัวเรายังนุ่งผ้าอย่างเรียบร้อยแต่มือ เรานั้นหิ้วอะไรไป... (ปิ่นโต) แล้วในปิ่นโตนั้นมีอะไร ?... อาหารนั้นถวายให้ใคร ?... แล้วในปิ่นโตที่หิ้วไปมีกี่ชีวิต ?...
ในทางกลับกัน เราได้รู้แล้วว่าชีวิตสัตว์นั้นล้วนน่าสงสาร เกิดเป็นสัตว์แล้วยังไม่พอ เรานั้นยังต้องไปเข่นฆ่า เข่นฆ่าแล้วยังไม่พอ ยังนำไปทำอาหาร เพียงแต่ตัวเองกินยังไม่พอ ยังให้ใครอีก ? แล้วยังนำมาถวายวัดอีก ใช่หรือไม่...
ขอถามว่า ชีวิตที่เราทำลายไปอยู่ในปิ่นโตนั้นเรานำไปถวายพระ
เราได้บุญหรือได้บาป ?...
แล้วเหตุใด เราจึงไปถอดเสื้อผ้าสัตว์เหล่านั้นไปถวายพระ เราทุกคนเป็นพุทธศาสนิกชน ขอถามง่ายๆ ว่าศีล 5 มีอะไรบ้าง?...
ข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต...
เราท่องทุกวัน แต่เราก็ฆ่าทุกวันใช่หรือไม่ แล้วอย่างนี้เราจะถือว่าเป็นข้อปฏิบัติตามคำสั่งสอนได้อย่างไรกัน เราเพียงแต่ท่องๆ ไปเท่านั้นเอง สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้เราประทังชีวิตหรือ เพราะเรายังไม่รู้ แต่หลังจากที่เรารู้แล้ว อาตมาขอบอกว่า สัตว์เหล่านั้นก็มีชีวิต รักตัวเอง...
ขอถามว่า ถ้าวันนี้มีใครมาทำลายชีวิตเรา เราจะยอมหรือ ?
เพราะเหตุใดเราจึงยังทำลายสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เพียงแต่ทำลาย เรายังนำไปถวายพระอีก...
เราเป็นพุทธศาสนิกชนจริงหรือ เรายังไม่รู้ว่าอะไรคือบุญ อะไรคือบาป ศีลข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ เหตุใดจึงห้ามฆ่าสัตว์ล่ะ? เพราะชีวิตใครๆ ก็รัก...
เรารักชีวิตเราไหม ?
แล้วถ้าเกิดว่ามีใครมาพลัดพรากคน ที่เรารู้จักไป เราจะยินยอมไหม ?
แล้วทุกคนทำลายไปแล้วกี่ชีวิต...
เหตุใดเรานั้นท่องอยู่ทุกวันว่า "ห้ามฆ่าสัตว์" ไปวัดก็ห้ามฆ่าสัตว์ แต่ในมือยังคงถืออะไรไป ?...ถือชีวิตสัตว์ไป เพราะว่าเรานั้นยังไม่รู้ หรือใครคิดว่าเรานั้นเกิดมาต้องกินเนื้อสัตว์บ้าง?...
เรานั้นได้ทานเนื้อเข้าไป รู้หรือไม่ว่านั่นคือเรากำลังกินชีวิตหนึ่งเข้าไปแล้ว จริงๆ แล้วคนเรากับชีวิตสัตว์ไม่ต่างกันเลย ต่างกันแต่เพียงร่างกายเท่านั้น...
ขอถามว่า สัตว์น้อยเหล่านั้นมีจิตวิญญาณหรือไม่?...
แต่ว่าเป็นจิตวิญญาณที่มืดมนมากเกินไป ยากที่จะพาตนเองนั้นค้นพบทางที่สว่างได้ เพราะฉะนั้น จึงได้เกิดกายมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ เดรัจฉานที่น่าสงสาร แล้วคนเรายังไปทำลายอีก...
ขอถามว่า เราทุกคนนั้นได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนแล้วจริงๆ หรือเหตุใดจึงต้องห้ามฆ่าสัตว์ ? ก็เพราะว่าเพื่อปลูกฝังให้เราทุกคนนั้นมีความเมตตากรุณา
อย่าลืมว่าสัตว์น้อยเหล่านั้นล้วนเป็นพี่น้องของเรา คำแผ่เมตตาเราท่องอยู่เสมอๆ แต่ปฏิบัติได้จริงมีกี่คน "จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย"...
ขอถามว่า เรานั้นได้เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปแล้วมากน้อย เท่าไหร่ แล้วเหตุใดเรายังท่องว่า "จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด"...
เราไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์เหล่านั้น ขอถามว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นสุขอยู่จริงๆ หรืออย่างไรกัน ? สุขตรงไหนล่ะ ? เราใช้เพียงแต่ปากท่อง ในขณะที่เราท่องนั้นเราปฏิบัติได้ถึงเสี้ยวหนึ่งแล้วหรือยัง...
ศีล นั้นมีไว้เพื่อทำอะไร ?
มีศีลให้เราปฏิบัติตาม แต่ทุกคนปฏิบัติตามศีลจริงๆ หรือไม่ ?
ขอถามว่า ถ้าเรานั้นมีศีลแล้ว เราไม่ปฏิบัติตาม ผลอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเรา?... (บาป)
วันนี้เรานั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ เราบาปไหม ?
แล้วถ้าเราไม่ประสงค์จะเอาเนื้อสัตว์ จะมีพ่อค้า-แม่ค้าขายเนื้อสัตว์เกิดขึ้นหรือไม่ ?...
วันนี้เราทุกคนเข้าข้างตนเองว่าเรานั้นไม่ได้เป็นคนฆ่า !...
ถ้าวันนี้เรานั้นเป็นผู้ร้าย ตำรวจจะจับใครกี่คนถ้าไม่มีคนจ้างให้เขาไปฆ่า เขาจะฆ่าไหม?... (ใช้เงินซื้อ)
แล้วเหตุใดจึงฆ่าล่ะ เพราะมีคนสั่งให้ไปฆ่า ใช่หรือไม่?...
หลังจากที่ฆ่าคนแล้ว ขอถามว่าตำรวจจะจับทั้งหมดกี่คน จับเราคนเดียว ใช่ไหม?... (ไม่ใช่)
เช่นเดียวกัน วันนี้เราบอกว่า "เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ เพียงแต่ไปซื้อมาเท่านั้นเราไม่บาป" ใช่อย่างนี้หรือเปล่า ?...
ถ้าเกิดว่า วันนี้เรานั้นไม่ประสงค์ที่จะทานเนื้อสัตว์ จะมีการฆ่าเกิดขึ้นไหม ? แล้วเหตุใดเราจึงเข้าข้างตนเองว่าเรานั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์
บางคนบอกว่าฆ่าสัตว์เพื่อประทังชีวิต ...
ขอถามว่า ถ้าวันนี้ เรานั้นอยู่ดีๆ มีคนใช้มีดมาแทงตัวเรา แล้วเราจะยอมหรือไม่ ?...
แล้ววันนี้เรานั้นยืมมือคนฆ่าไปแล้วกี่ชีวิต อย่างนี้เราไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือ
อย่าลืมว่าวันนี้เราได้ทำลายไป แล้วกี่ชีวิตอย่าลืมว่าชีวิตที่เรานั้นทำลายไป จะกลับมาหาตัวเรา สักวันหนึ่ง จะตอบแทนเราอย่างไรเราก็ไม่รู้...
อย่าลืมว่า สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด...
ถ้าว่าเราท่องอย่างนี้ เราไม่ปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์...
เพราะฉะนั้น "เราเป็นคนฆ่า" หรือ "ไม่เป็นคนฆ่า" "เราผิด" หรือ "ไม่ผิด" กลับไปคิดเองก็แล้วกัน !...
"คนบางคนฆ่าสัตว์เป็นปกติ มีใจทารุณ โหดร้าย มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหารไม่เอ็นดูในสัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาได้สมาทานไว้อย่างนี้...
แต่หากตายไปไม่เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลังจะเป็นคนที่มี อายุสั้น"...
นี้คือ ผลแห่งกรรม ตามนัยแห่ง จูฬกัมมวิภังคสูตร
พระ พุทธองค์ได้ตรัสถึงอดีตกรรมของคนเราว่า... ในชาตินี้ คนที่คิดฆ่า สัตว์มิว่าน้อยใหญ่ เพียงคิดที่จะฆ่า หรือเพียงแค่จับเอามาทารุณ แกล้งเล่น ให้มันได้รับความเจ็บปวดเพื่อ ความคึกคะนองของตน จนสัตว์นั้นได้รับบาดเจ็บหรือต้องตายไป
บุคคลนั้นจะได้รับผลจาก การกระทำภายในชาติปัจจุบันนี้ หรือในชาติต่อไป โดยผลกรรมนั้นจะปรากฏในลักษณะใดลักษณะหนึ่งต่อไปนี้...
1. รูปโฉมอัปลักษณ์
เหมือนดั่งใบหน้าของสัตว์ที่บิดเบี้ยวเพราะได้รับความเจ็บปวดเมื่อถูก ทรมาน...
2. ขี้ขลาด ขี้กลัวง่าย
เหมือนดั่งความรู้สึกของสัตว์ที่ตื่น กลัวเมื่อถูกทารุณหรือกำลังจะถูก ฆ่า...
3. อ่อนแอ
ช่วยเหลือดูแลตัวเองไม่ได้ เหมือน ดั่งสภาวะของสัตว์ที่ถูกทำร้ายจน บาดเจ็บและใกล้ตาย...
4. เฉี่อยชาปัญญานิ่ม
เหมือนดั่งสภาวะของสัตว์ที่ใกล้ตาย ย่อมไม่มีกำลังและสติปัญญาใด ๆ อีก...
5. พิกลพิการ
เหมือนดั่งสภาพของสัตว์ที่ถูกแกล้ง ถูกทารุณจนไม่สมประกอบ...
6. ต้องถูกฆ่า, ฆ่าตัวตาย
เหมือนดั่งชีวิตของสัตว์ที่ถูกตนเคย ฆ่าเคยเอาชีวิตเขา...
7. มีโรคมาก
เหมือนดั่งลักษณะการที่ตนเคยทำ ทารุณสัตว์มาในชาติปางก่อน...
8. สิ้นไร้บริวาร
ด้วยเพราะเป็นคนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงมีกรรมที่ทำให้ไม่มีผู้ใดอยู่แวดล้อมใกล้ชิดได้นาน...
9. อายุสั้น
เหมือนดั่งชีวิตของสัตว์ที่ยังไม่ถึงวัยต้องตาย แต่ตนไปเอาชีวิตเขาและให้ ผลติดต่อกันหลายชาติ...
ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไป การเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่น ถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุด แม้ว่า จะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับ การจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจ ให้อภัยได้
ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราละเว้น จากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระ องค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต" คือ ห้ามการฆ่าเป็นข้อที่ สำคัญอันดับหนึ่ง...
ขอให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงพิจารณาพระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง "อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์" เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรมยกระดับจิตเมตตา ให้สูงยิ่งๆ ขึ้น...
ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า...
"สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนา โปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรม กถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า...
" บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูล ทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่..."
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพพรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย...
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น...
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้น ในใจลงได้...
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย...
5. มีอายุมั่นขวัญยืน...
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด...
7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล...
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้น...
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ...
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่คติภพ"...
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น