Welcome

Innovation distinguishes between a leader and a follower.

" นวัตกรรมแยกผู้นำกับผู้ตามออกจากกัน " Steve Jobs

        ชีวิตคืออะไร ? 
  

เท่านี้หรือคือ "ชีวิต" ?








เกิดมา                     เข้าโรงเรียน
      1. เกิดมา...                  2. เข้าโรงเรียน...


เข้ามหาลัย                    จบการศึกษารับปริญญา

     3. เรียนต่อ...                 4. เรียนจบ...

ทำงาน                             แต่งงานมีครอบครัว

     5. ทำงาน...                    6. แต่งงาน...


เลี้ยงลูกหลาน                               คนแก่ คนชรา อายุมาก


     7. เลี้ยงลูก...                         8. แก่...



     โรคภัยไข้เจ็บ                               ตาย มรณกรรม สุดท้ายของชีวิต

          9. เจ็บ...                          10. ตาย...






พระอรหันต์จี้กง


ศิษย์รักต้องเข้าใจในหลักธรรมจริง  จึงบำเพ็ญได้ถูกต้อง....

ปุถุชนค้นหาทรัพย์เงินตรา...  ก็เพื่อเลี้ยงชีพ...  เลี้ยงครอบครัว...  สร้างฐานะทางสังคม ....
แต่วันนี้ได้รับโอกาสดี...  เจ้าต้องรู้จักถนอมรักษาบุญสัมพันธ์....

มีทรัพย์เงินตรารู้จักใช้  สามารถแปรเปลี่ยนเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ใช้เวลานี้บำเพ็ญตน  ....

ชีวิตมนุษย์ยากที่จะออกบวชได้ด้วยความยินดี...  เพราะว่าในการดำรงชีวิตยังไม่สะดวกอำนวย...   ดังนั้น ยุคขาวศิษย์สามารถบวชจิตอยู่ในการครองเรือนได้  เจ้าต้องพิเคราะห์ให้ดี ...  การบวชจิตต้องฝึกฝน .... ขัดเกลาจิตใจให้ลดละเลิกจากกิเลส .... จากอบายมุข  หมั่นฝึกฝนจึงก้าวสู่ปราชญ์เมธา...

ปราชญ์เมธาค้นหาสัจธรรมแท้... คือผู้ที่มุ่งมั่น ทุกนาทีของชีวิตคือการบำเพ็ญฉุดช่วยตน  ช่วยผู้อื่น...การช่วยตนเองคือก้าวแรกที่จะดำเนิน   เมื่อศึกษาธรรม   บำเพ็ญธรรมกระจ่างเข้าใจ  จึงฉุดช่วยผู้อื่นขั้นต่อไป...

หนทางธรรมเพียงหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปร คือ หนทางหลุดพ้น  แม้กาลเวลาจะผ่านมาหกหมื่นกว่าปี  อริยะพุทธะโบราณเดินเส้นทางนี้   บำเพ็ญธรรม  บรรลุมรรคผล  หนทางธรรมเมื่อศิษย์นำพาก้าวเดิน   ปฏิบัติจริง  ก็เสมือนดั่งเจริญตามปฏิปทาพระพุทธะเช่นกัน...

โปรดสามโลกแพร่ธรรมจริงเก็บญาณคืน...   ณ  ยุคปัจจุบัน  จิตใจผู้คนตกต่ำ...  ขาดศีลธรรม .... คุณธรรม ....จึงต้องอาศัยธรรมะฟื้นฟูจิตเดิมแท้  หวังว่าเจ้าจะบำเพ็ญได้ดี ... ช่วยบรรพชน ... ช่วยครอบครัว....

การฉุดช่วยนั้น... ฉุดช่วยอย่างไรจึงจะพ้นจากความทุกข์ ... เจ้าต้องรู้จักตนเองก่อน.... มนุษย์ผู้ใดรู้จักหนทางพ้นทุกข์ .... รีบเร่งบำเพ็ญจะสามารถเข้าสู่สภาวะเดิมในกายตน.... คือ การย้อนมองส่องจิตตน นั่นเอง....  

ช่วยคนพ้นจากทุกข์คือ... หลักธรรมความจริงแท้....  แม้จะช่วยผู้อื่น...  แต่หากผู้นั้นมิช่วยตน ... ใครจะช่วยได้...  หลักธรรมชี้นำทางให้ชีวิตตื่น   การฟังธรรมเพื่อจะนำพาไปใช้ในชีวิตประจำวัน...  อย่าดูเบา...  จากนี้ตั้งใจให้ดี.... เข้าใจหรือไม่ ?....









เราโชคดีมากแล้ว...ที่ได้พบคำสั่งสอนที่ดีงาม...
เราโชคดีมาก...ที่ได้มีโอกาสสร้างกุศล และละทิ้งความบาปผิด...
เราโชคดีมาก...ที่ได้พบพระศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม...
เราโชคดีมาก...ที่เราได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านใดก็ตาม...
เราโชคดีมาก...ที่ได้เป็นพี่น้องกันตั้งแต่อดีตและตลอดไป...
เราโชคดีมาก...ที่เมื่อเรามีจิตใจที่สะอาดแล้ว แดนนรกนั้นไม่ต้อนรับเรา แต่เราต้องไม่ประมาทอีกต่อไป...
เราโชคดี...ที่ชาตินี้ไม่ต้องไปนรกอีก เพราะเราได้ทราบแล้วว่านรกนั้นเป็นแดนมหาทุกข์เพียงไร...
เราโชคดี...ที่ได้ดำเนินตามทางที่ถูกต้องตามหลักแห่งความจริงที่สุดแห่งจักรวาล...
เราโชคดีมาก...ที่เราเข้าใจสัจธรรม ซึ่งเราทุกคน ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย...
เราโชคดีมาก...ที่เราได้พบกันเพื่อสร้างบารมีเป็นปัจจัยช่วยเหลือผู้อื่นและตัวเราเองสู่แดนอมตะนิรันดร์กาล...



ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด

อานุภาพแห่งพระพุทธศาสนา
เราต่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา...เพราะพระพุทธศาสนาจริง ๆ
ดีได้เพียงนี้ ไม่ดีน้อยกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
ร้ายเพียงเท่านี้ ไม่ร้ายมากไปกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวไว้มีความว่า "ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี"
เป็น การเตือนด้วยถ้อยคำอันไพเราะยิ่งนัก ควรนักที่จะได้รับความสนใจอย่างยิ่ง ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ควรรักษาตนนั้นให้ดี ขอให้ทบทวนคำเตือนนี้ให้เสมอ จะรู้สึกว่าเป็นคำเตือนที่สุภาพอ่อนโยน ไพเราะลึกซึ้ง เปี่ยมด้วยเมตตา เมื่อทบทวนคำเตือนนี้แล้ว ก็น่าจะนึกเลยไปให้ได้ความเข้าใจว่าท่านผู้กล่าวคำเตือนได้เช่นนี้ ต้องมีจิตใจสูงส่ง มีเมตตาปรารถนาดีอย่างที่สุดต่อเราทุกคน จึงควรเทิดทูนความเมตตาของท่าน ให้ความสนใจและปฏิบัติให้เป็นไปตามคำของท่าน เพื่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีตอบแทนพระคุณ และน้ำใจงดงามที่ท่านมีต่อเราทั้งหลาย และท่านผู้นั้น คือ "พระพุทธเจ้า"

ความจริงที่ควรระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอ
เรา รักตัวเรา คนอื่นก็รักตัวเขา เราไม่อยากให้ใครทำเช่นไรกับเรา คนอื่นก็ไม่อยากให้เราทำเช่นนั้นกับเขา เราอยากให้คนอื่นทำดีกับเราอย่างไร คนอื่นก็อยากให้เราทำดีกับเขาอย่างนั้น ขอให้พยายามคิดถึงความจริงนี้ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะมีสตินึกได้ จะเป็นคุณแก่ตนเองอย่างยิ่ง การคิดพูดทำทั้งหมดจะเป็นไปอย่างดีที่สุด ไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น

เพราะรักตนอย่างยิ่งนั่นเอง
จึงเป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติดี เพื่อให้ตนเป็นคนดี
การ สามารถรักษาจิตใจ รักษาวาจา รักษาการกระทำ ให้เป็นไปเพื่อไม่ก่อทุกข์โทษภัยแก่ผู้อื่น ไม่เรียกว่าเป็นการทำเพื่อผู้อื่น ไม่เรียกว่าเป็นการถือว่าผู้อื่นเป็นที่รักของตน แต่เป็นการทำเพื่อตนเอง เป็นการถือว่าตนเป็นที่รักของตนอย่างยิ่ง ไม่มีความรักอื่นเสมอด้วยความรักตน
ผู้ที่สามารถรักษากาย วาจา ใจ ตนให้ดีได้นั้นก็คือ "ผู้ที่รักตนอย่างยิ่ง" นั่น เอง เพราะรักตนอย่างยิ่งจึงประพฤติดีปฏิบัติดีเพื่อให้ตนเป็นคนดี ผู้ที่ถือเอาการได้มากด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่เลือกสุจริต ทุจริต ไม่ใช่คนรักตนเอง ผู้ที่มีกิริยาวาจาหยาบคายก้าวร้าว ทิ่มแทงหลอกลวง ไม่ใช่คนรักตนเอง ไม่ใช่คนที่จะทำให้ตนเองสวัสดีได้ ตรงกันข้ามที่ทำเช่นนั้นเป็นการไม่รักตนเอง แม้คนจะคิดว่าการที่ทำเพราะไม่รักผู้อื่นก็ตาม แต่ความจริงแท้เป็นการไม่รักตน เป็นการทำให้ตนต่ำทราม เมื่อจะคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วเมื่อใด ขอให้นึกถึงตนเอง นึกว่าตนเป็นที่รักของตน จึงไม่ควรทำลายตนเหมือนตนเป็นที่รังเกียจเกลียดชังอย่างยิ่ง จนถึงต้องทำลายเสีย การคิดชั่วพูดชั่วทำชั่ว เป็นการทำลายตนอย่างแน่แท้

ความดีความชั่วเป็นปัจจัยสำคัญให้สังคมวุ่นวาย
สังคม แห่งมนุษยชาติบางคราวสงบเย็น บางคราวเดือดร้อนวุ่นวาย ก็เพราะมีความดีความชั่วเป็นปัจจัยสำคัญ พระพุทธศาสนาจึงมุ่งแนะนำสั่งสอนให้ประกอบความดี ละเว้นความชั่ว และอบรมจิตใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งจะผลักดันให้ทำความดี ส่วนจิตใจชั่วทรามย่อมนำให้สร้างความชั่วเสียหายยังแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น

ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี
ทุก ชีวิตมีเวลาจำกัด อย่างมากไม่เกิดร้อยปีก็จะต้องละร่างนี้ ละโลกนี้ไป อย่าผลัดวันประกันพรุ่งที่จะทำความดี เพราะถ้าสายเกินไปเมื่อไร ก็ตนเองนั่นแหละจะต้องได้เสวยผลของการไม่กระทำกรรมดี ไม่มีผู้ใดอื่นจะรับผลของความดีความชั่วที่ตนเองทำไว้ เจ้าตัวเองเท่านั้น จักเป็นผู้รับผลของความดี ความชั่วที่ตนทำ

อย่ายอมให้ความชั่วมีอำนาจแบ่งเวลาในการทำดี
ความ ดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกเวลา แต่จะทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ต้องทำทีละอย่าง จึงต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไหน จะทำความดีหรือจะทำความชั่ว อย่ามีใจอ่อนแอโลเลเพราะจะทำให้พ่ายแพ้ต่ออำนาจของความชั่ว ยอมให้ความชั่วมีอำนาจแย่งเวลาที่ควรทำความดีไปเสีย ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง จะเป็นการแสวงหาทุกข์โทษภัยใส่ตัว อย่างไม่น่าทำ

ตนนั่นแหละ เป็นผู้นำพาชีวิตของตน
พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้แปลความว่า "ตนเทียวเป็นคติของตน" คือ ตนนั้นแหละ จักเป็นผู้พาตนเองไป ไปดีไปชั่ว ไปสว่างไปมืด ไปอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่ตนจะพาตนเองไป ที่มักกล่าวกันว่าคนนั้นพาคนนี้ไปดีไม่ดีนั้น ไม่ถูกต้องตามความจริง ไม่มีผู้ใดจะพาใครไปไหนได้ นอกจากเจ้าตัวเองจะเป็นผู้พาตัวเองไป ผู้อื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
แม้ ตัวเองไม่พาตัวเองไปดีแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถพาไปดีได้อย่างแน่นอน หรือแม้ตัวเองไม่พาตัวเองไปชั่วแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถพาไปชั่วไปอย่างแน่นอน เช่น มีผู้มาชวนให้ทำบุญ แม้ตัวเองไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้ทำบุญ มีผู้มาชวนให้ทำบาป แม้ตัวเองไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้ทำบาป ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งนั้น ถ้าตัวเองไม่เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยแล้ว ไม่ทำตามแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดมานำได้ ตนเองเท่านั้น จักนำตนเองไปได้ทุกที่ทุกทาง ทั้งที่ดีทั้งที่ชั่ว ตนเองจึงสำคัญนัก ตนจึงเป็นคติของตนจริง

ทุกชีวิต ล้วนปรารถนาไปสู่ที่ดีที่สว่าง
ทุก คนควรตั้งปัญหาถามตนเอง ว่าชอบจะพาตนเองไปสู่ที่ดีหรือไปสู่ที่ชั่ว ไปสู่ที่สว่างหรือไปสู่ที่มืด คำตอบน่าจะตรงกันทั้งหมด ว่าทุกคนชอบจะพาตนไปสู่ที่ดีที่สว่าง ไม่ใช่ไปสู่ที่ชั่วไปสู่ที่มืด เมื่อรู้คำตอบปัญหาเช่นนี้ ก็ต้องรู้ต่อไปว่า ผู้นำ คือ ตนเองนั้น จะต้องรู้ทางไปสู่ที่ดีที่สว่างให้ถนัดชัดแจ้งถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็จะพาตนไปไม่ถูกต้องดังปรารถนา นั่นก็คือ ต้องรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไปสู่ที่ดีที่สว่าง ไม่หลงไปสู่ที่ชั่วที่มืด เราเป็นพุทธศาสนิก มีโอกาสดีอย่างยิ่ง มีโอกาสดีกว่าผู้อื่น พระพุทธศาสนาแสดงทางดีทางสว่างไว้ชัดแจ้งละเอียดลออ ดีน้อยดีมาก สว่างน้อยสว่างมาก มีแสดงไว้แจ้งชัดในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นแจ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพื่อพุทธศาสนิกได้ดำเนินรอยพระพุทธบาทได้ถูกต้อง ได้ไปถึงที่ดีที่สว่าง โดยไม่ต้องคลำทางด้วยตนเองให้ลำบาก สำคัญที่ว่าพุทธศาสนิกจะต้องศึกษาพระธรรมคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนและต้อง ปฏิบัติตาม

ผู้ปรารถนาความดี ความสว่างแห่งชีวิต
พึงดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอน
พระ พุทธองค์ทรงตามประทีปไว้แล้ว ให้เราเห็นทางดำเนินไปสู่ที่ดีที่พ้นทุกข์ เราจงอย่าปิดตาจงลืมตาดูแสงประทีปนั้น ให้เห็นทางสว่างด้วยแสงแห่งพระมหากรุณา แล้วพากันน้อมรับพระมหากรุณานั้นดำเนินไปตามทางที่สว่าง จักไม่พบอันตรายที่ย่อมแอบแฝงอยู่ในความมืด
ความ สำคัญจึงมิได้อยู่ที่แสงประทีป ซึ่งพระพุทธองค์ทรงจุดประทานไว้ด้วยพระมหากรุณาเท่านั้น แต่ต้องอยู่ที่ตนเองของทุกคนด้วย ถ้าพากันปิดตาไม่แลให้เห็นแสงประทีป ก็อาจจะเดินไปสู่ที่มืดที่ชั่ว ที่มีอันตรายร้อยแปดประการได้ แต่ถ้าพากันลืมตาขึ้น ดูให้เห็นทางอันสว่างไสว แล้วเดินไปตามทางนั้น ก็ย่อมจะเดินไปสู่ที่สว่าง ไปสู่ที่ดี พ้นภยันตรายมากมีทั้งหลาย

พึงอบรมตนให้เป็นคติ คือทางที่ดีของตน
ไม่ มีผู้ใดปรารถนาจะมีหนทางชีวิตที่มืด มีแต่ปรารถนาหนทางชีวิตที่สว่าง ดังนั้นต้องอบรมตนให้รู้จักทาง ทางมืดก็ให้รู้ ทางสว่างก็ให้รู้ ทางไปสู่ที่มืดก็รู้ ทางไปสู่ที่สว่างก็รู้ รู้ทางแล้วยังไม่พอ ต้องศึกษาวิธีเดินทางให้ดีด้วย เดินทางสว่างนั้นท่านเดินกันอย่างไรต้องศึกษาให้ดี เดินอย่างไรจะเป็นการเดินทางมืด และต้องรู้ว่าขึ้นชื่อว่าทางมืดต้องมีอันตรายแอบแฝงอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่พึงเดินไปอย่างส่งเดช อบรมใจให้ดีให้ตาสว่าง จะได้เดินถูกทาง สามารถนำไปดีได้ ทำตนให้เป็นคติคือทางที่ดีของตนได้

ทุกชีวิต ล้วนตกเป็นเครื่องมือของกรรม
ความ รังเกียจหรือความนิยมยกย่องคนที่ชั่วและคนดีได้รับ เป็นผลแห่งกรรมของตน ไม่ใช่เป็นอะไรอื่น ความรังเกียจที่คนชั่วได้รับ เป็นผลแห่งกรรมชั่ว ความนิยมยกย่องที่คนดีได้รับ เป็นผลแห่งกรรมดี คนทั้งหลายรวมทั้งตัวเราทุกคน เป็นเครื่องมือของกรรมที่จะเป็นเหตุให้ผลของกรรมชั่วและผลของกรรมดีปราก ฎชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผู้มีปัญญาไม่นิยมคำว่า "ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์" เพราะเป็นความไม่ถูกต้อง ความเสื่อมทั้งหลายเกิดจากความนิยมนี้ได้มากมาย

ผู้ยินดีในความถูกต้อง พึงอบรมตนให้มีสัมมาทิฐิ
แม้ ทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในจิตใจตนได้แล้ว การปฏิบัติที่ถูกต้องก็ย่อมจะต้องตามมาอย่างแน่นอน เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ คือ ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจความเห็นถูกเห็นผิดของใจ
การอบรม ความเห็นให้ถูก ให้เป็นสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบ ไม่ให้เป็นมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิด จึงเป็นความสำคัญที่สุดของผู้ยินดีในความถูกต้อง ใจของเราทุกคนนี้สำคัญนัก สติก็สำคัญนัก ปัญญาก็สำคัญนัก เมตตากรุณาก็สำคัญนัก ทั้งหมดนี้ไม่ควรแยกจากกัน มีใจก็ต้องให้มีสติ ต้องให้มีปัญญา ต้องให้มีกรุณา ประคับประคองกันไปให้เสมอ อย่าให้มีสิ่งอื่นนอกจากสติปัญญาและเมตตากรุณาเข้ากำกับใจ
สติ และปัญญาพร้อมเมตตากรุณานั้น เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ จะทำให้ใจมีสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบได้ ตรงกันข้าม แม้ใจขาดสติปัญญา และเมตตากรุณา ก็จะทำให้มีมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิดได้ง่าย

สติปัญญา เมตตากรุณา สำคัญยิ่งแก่ทุกชีวิต
สติ ปัญญา และเมตตา กรุณา เป็นความสำคัญอย่างยิ่งของทุกคน เป็นสิ่งช่วยให้คนเป็นคนอย่างสมบูรณ์ขึ้น งามพร้อมขึ้นจึงพึงเพิ่มพูนทั้งสติ ปัญญา และเมตตา กรุณา ซึ่งสามารถอบรมได้พร้อมกัน ให้เกิดผลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ก่อนจะพูดจะทำอะไร พึงมีสติรู้ว่าแม้พูดแม้ทำลงไป จะเกิดผลอะไรตามมา เป็นความเสียหายแก่ผู้ใดหรือไม่ ต้องใช้ปัญญาในตอนนี้ให้พอเหมาะพอควร พร้อมทั้งใช้เมตตากรุณาให้ถูกต้อง เว้นการพูดการทำที่จะเป็นเหตุแห่งความกระทบกระเทือนใจผู้ฟังโดยไม่จำเป็น
พระ พุทธเจ้าทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณา ทรงตั้งพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาเพื่อจิตใจ ผู้เป็นพุทธศาสนิกพึงคำนึงถึงความจริงนี้ให้อย่างยิ่ง จะคิด จะพูด จะทำอะไร มีสตินึกถึงจิตใจผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย อย่าให้ได้รับความชอกช้ำโดยไม่จำเป็น

ที่พึ่งของชีวิต อันไม่มีที่พึ่งใดเปรียบได้
พระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาเพื่อจิตใจโดยแท้ เป็นศาสนาที่ทะนุถนอมจิตใจเป็นอย่างยิ่ง มุ่งพิทักษ์รักษาจิตใจเป็นอย่างยิ่ง มุ่งพิทักษ์รักษาจิตใจให้ห่างไกลจากความเศร้าหมองทั้งปวง อันจักเกิดแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศึกษาพระพุทธศาสนาให้รู้จริง ก็จะเห็นพระพุทธเจ้าว่า ทรงมีพระหฤทัยละเอียดอ่อนและสูงส่งเหนือผู้อื่นทั้งปวง ความอ่อนโยนประณีตแห่งพระหฤทัย ทำให้ทรงเอื้ออาทรถึงจิตใจสัตว์โลกทั้งหลาย ทรงแสดงความทะนุถนอมห่วงใยสัตว์น้อยใหญ่ไว้แจ้งชัด สารพัดที่ทรงตรัสรู้อันจักเป็นวิธีป้องกันจิตใจของสัตว์โลก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพระมหากรุณาพร่ำชี้แจงแสดงสอนตลอดพระชนมชีพที่ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เช่นนี้แล้วไม่ความหรือที่พุทธศาสนิกทุกถ้วนหน้า จะตั้งใจสนองพระมหากรุณาเต็มสติปัญญาความสามารถปฏิบัติตามที่ทรงสอน เอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย ด้วยการแนะนำบอกเล่าให้รู้จัก ให้เข้าใจว่าสมเด็จพระพุทธศาสดานี้ทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณา จึงทรงอบรมพระปัญญา จนถึงสามารถทรงยังให้เกิดพระพุทธศาสนาขึ้นได้ เป็นที่พึ่งยิ่งใหญ่ของสัตว์โลกทั้งหลายได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเปรียบได้

ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด
พึงรำลึกในพระคุณและน้ำใจของพระพุทธองค์
ทุก คนที่เคยประสบความขัดข้องในชีวิต ปรารถนาจะได้รับความช่วยเหลืออย่างที่สุด เมื่อมีผู้ใดมาให้ความช่วยเหลือแก้ไขความขัดข้องนั้นให้คลี่คลาย ช่วยให้ร้ายกลายเป็นดี แม้มีจิตใจที่กตัญญูรู้คุณ ผู้ได้รับความช่วยเหลือด้วยเมตตา ให้ผ่านพ้นความมืดมัวขัดข้อง ย่อมสำนึกในพระคุณและน้ำใจ ย่อมไม่ละเลยที่จะตอบแทน... พระมหากรุณาของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เหนือความกรุณาทั้งหลายที่ทุกคนเคยได้รับ มาในชีวิต แม้ไม่พิจารณาให้ประณีตก็ย่อมไม่เข้าใจ แต่แม้พิจารณาให้ประณีตด้วยดี ย่อมไม่อาจที่จะละเลยพระคุณได้ ย่อมจับใจในพระคุณพ้นพรรณนา
*****

จากหนังสือ "ทุกชีวิต มีเวลาอันจำกัด"
พระราชนิพนธ์เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต
และพระคติธรรมเพื่อเป็นแสงส่องใจ
หนังสือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







คำถาม: ความหมายของชีวิตคืออะไร?

คำตอบ: 
ความหมายของชีวิตคืออะไร? ฉันจะหาความหมายของชีวิต เติมชีวิตให้เต็ม และพอใจกับชีวิตได้อย่างไร? ฉันจะมี ความเข้มแข็งพอที่จะทำอะไรสักอย่างที่มีความหมายตลอดไปให้สำเร็จได้ไหม? มีคนมากมายไม่เคยหยุดคิดเลยว่าอะไรคือความหมายของชีวิต หลายปีให้หลัง เมื่อเขามองย้อนกลับไป แล้วสงสัยว่าทำไมความสัมพันธ์ของเขาจึงล้มเหลว และ ทำไมเขาจึงรู้สึกว่างเปล่้าเหลือเกินแม้ว่าเขาอาจจะประสพความสำเร็จในการทำสิ่งที่เขาตั้งใจว่าจะทำก็ตาม มีนักเล่นเบสบอลคนหนึ่งไปถึงจุดนั้นและมีชื่อของเขาบรรจุอยู่ในห้องสมุดของผู้มีชื่อเสียงทางด้านเบสบอล เมื่อถูกถามว่าเขาอยากให้มีใครบอกอะไรบ้างเมื่อเขาเริ่มเล่นเบลบอลล์ เขาตอบว่า “ผมอยากให้มีใครสักคนบอกผมว่า เมื่อคุณไปถึงจุดสูงสุดแล้ว คุณจะพบว่าที่นั่นไม่มีอะไรเลย” เป้าหมายหลายอย่างที่เราเสียเวลาหลายปีจนไปถึงแล้ว เรากลับพบว่ามันว่างเปล่า

ในสังคมของมนุษยชาติ ผู้คนพยายามไปให้ถึงเป้าหมายด้วยวัตถุประสงค์หลายประการ ด้วยคิดว่าที่นั่นพวกเขาจะค้นพบความหมาย เป้าหมายเหล่านี้รวมถึง ความสำเร็จทางธุรกิจ, สุขภาพ, การมีความสัมพันธ์ที่ดี, เพศสัมพันธ์, ความบันเทิงเริงรมย์ด้านต่าง ๆ, การทำดีต่อคนอื่น, ฯลฯ มีหลายคนบอกว่าหลังจากที่เขาประสพความสำเร็จทางด้าน ความมั่งคั่ง, ความสัมพันธ์, และความรื่นรมย์ ที่ตั้งเป้าไว้ ข้างในของพวกเขาก็ยังว่างเปล่าอยู่ -- มันเป็นความรู้สึกเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรสามารถจะเติมให้เต็มได้เลย

ผู้เขียนหนังสือปัญญาจารย์ในพระคัมภีร์ได้พูดถึงความรู้สึกว่างเปล่านี้ว่าเป็น “อนิจจัง! อนิจจัง! … อนิจจัง สารพัดอนิจจัง” พระองค์ทรงมีความมั่งคั่งเหลือคณานับ มีสติปัญญาเหนือใครในสมัยนั้นและในสมัยนี้ มีผู้หญิงนับร้อย มีปราสาทราชวัง มีสวน อันเป็นที่อิจฉาของบรรดาอาณาจักรต่าง ๆ มีอาหารและเหล้าที่ดีที่สุด มีสิ่งสันทนาการนานับประการ และณ.จุด ๆ หนึ่ง พระองค์ตรัสว่าไม่ว่าอะไรที่ทรงต้องการ พระองค์ก็จะทรงแสวงหามาจนได้เสมอ แต่ในที่สุดก็ได้ตรัสว่า “ชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์” (ชีวิตที่เปรียบเสมือนว่าทั้งหมดมีเพียงแค่เท่าที่ตามองเห็นและประสาทสัมผัสได้เท่านั้น) ไร้ความหมาย! ทำไมจึงมีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า? คำตอบคือ เพราะว่าพระเจ้าทรงสร้างเราขี้นมาเพื่ออะไรบางอย่างเหนืออะไรที่เป็นอยู่ ที่นี่้และเดี๋ยวนี้ กษัตริย์โซโลมอนกล่าวเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ว่า “พระองค์ได้กำหนดความเป็นนิรันดร์ในหัวใจของมนุษย์ไว้ด้วย…” ในใจของเรา เรารู้ว่า “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีอยู่

ในหนังสือปฐมกาล ซึ่งเป็นหนังสือฉบับแรกในพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้่นมาตามพระฉายของพระองค์ (ปฐมกาล 1:26) นั่นหมายความว่าเราเหมือนพระเจ้ามากกว่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น เราได้พบอีกว่า ก่อนที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป และคำสาปแช่งได้เข้ามาสู่โลก สิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง: (1) พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นสัตว์สังคม (ปฐมกาล 2:18-15); (2) พระเจ้าทรงมอบหมายงานให้กับมนุษย์ (ปฐมกาล 2:15); (3) พระเจ้าทรงมีความสัมพันธ์กับมยุษย์ (ปฐมกาล 3:8); และ (4) พระเจ้าทรงให้มนุษย์ครอบครองเหนือโลก (ปฐมกาล 1:26) สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างไร? ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้แต่ละสิ่งเหล่านี้เติมชีวิตเราให้เต็ม แต่ทั้งหมด (โดยเฉพาะการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า) เกิดผลกระทบเมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป อันเป็นผลให้คำสาปแช่งเกิดขึ้นบนโลก (ปฐมกาล 3)

ในหนังสือวิิวรณ์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสุดท้ายมากมายหลายอย่าง พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกและฟ้าสวรรค์ที่เรารู้จักในปัจจุบัน แล้วจะทรงสร้างทั้งหมดขึ้นมาใหม่ซึ่งจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เมื่อถึงเวลานั้น พระองค์จะทรงมีความความสัมพันธุ์อย่างเต็มรูปแบบกับมนุษย์ที่ทรงไถ่ไว้ มนุษย์บางคนจะถูกพิพากษาและส่งไปยังบึงไฟนรก (วิวรณ์ 20:11-15) 21:4 และคำสาปแช่งจะไม่มีอีกต่อไป ความบาปจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ ความตาย ความเจ็บปวด, ฯลฯ จะไม่มีอีกต่อไป (วิวรณ์ 21:4) และผู้เชื่อจะได้รับสิ่งสารพัดเป็นมรดก และพระเจ้าจะทรงอยู่กับพวกเขา และเขาจะเป็นบุตรของพระองค์ (วิวรณ์ 21:7) แล้ววงจรก็จะครบถ้วน คือ พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์; มนุษย์ล้มลงในความบาปซึ่งทำให้ึความสัมพันธ์นั้นขาดออก; พระเจ้าทรงทำให้ึความสัมพันธ์กับผู้ที่พระิองค์ทรงเห็นว่าสมควร กลับสู่สภาพดีชั่วนิรันดร์ ดังนั้น การมีชีวิตพร้อมความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน เพียงเพื่อเมื่อจากโลกนี้ไปจะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ เป็นเรื่องไร้ประโยชน์! แต่พระเจ้าได้ทรงเปิดทาง ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้เราได้พบกับความสุขนิรันดร์เท่านั้น (ลูกา 23:43) แต่ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พระองค์จะทรงทำให้่ชีวิตเราอิ่มเอมและมีความหมายอีกด้วย เราจะมีความสุขนิรันดร์ และ “สวรรค์บนโลก” ได้อย่างไร?




ความหมายในชีวิตที่ได้รับการกู้โดยพระเยซูคริสต์

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ความหมายแห่งชีวิตที่แท้จริงทั้งในปัจจุบันและชั่วนิรันดร์กาล อยู่ที่การทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าที่ขาดหายไปตั้งแต่สมัยที่อาดัมกับเอวาล้มลงในความบาปกลับสู่สภาพดี ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปได้โดยทางพระบุตร, พระเยซูคริสต์, เท่านั้น (กิจการ 4:12; ยอห์น 14:6; ยอห์น 1:12) มนุษย์สามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้เมื่อเขาสารภาพบาป (ไม่อยากทำบาปต่อไป และต้องการให้พระคริสต์ช่วยเปลี่ยนและทำให้เขาเป็นคนใหม่) และเริ่มพึ่งพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด (ดูคำถามในหัวข้อ “แผนการสำหรับความรอดคืออะไร? หากคุณต้องการความรู้มากขึ้นสำหรับเรื่องสำคัญนี้)

ความหมายที่แท้จริงในชีวิตไม่ใช่การได้พบว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น (ซึ่งเป็นเรื่องแสนอัศจรรย์อยู่แล้ว) แต่อยู่่ที่การที่ได้เริ่มต้นติดตามพระคริสต์ในฐานะสาวกของพระองค์ ได้เรียนรู้จากพระองค์ ใช้เวลากับพระองค์ผ่านทางพระวจนะ (พระคัมภีร์) สื่อสารกับพระองค์ทางการอธิษฐาน และเดินกับพระองค์ด้วยความเชื่อฟังต่อคำสั่งของพระองค์ หากคุณไม่ใช่ผู้เชื่อ (หรือเป็นผู้เชื่อใหม่) คุณอาจพูดกับตัวเองว่า “ฟังดูแล้วไม่เห็นน่าตื่นเต้นหรืออิ่มเอมสำหรับฉันเลย!” แต่จงอ่านต่อไปอีกสักนิดหนึ่ง พระเยซูได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ไว้: 

“บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน ด้วยว่าแอกของเราก็แบกง่าย และภาระของเราก็เบา" (มัทธิว 11:28-30) “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10ข) “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตของตนรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้น จะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:24-25) “จงปีติยินดีในพระเยโฮวาห์และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน” (สดุดี 37:4)

สิ่งที่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้กำลังพูดถึงก็คือเรามีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะนำพาชีวิตด้วยตัีวเอง (ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตที่ว่างเปล่า) หรือติดตามพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อชีวิตของเราจนหมดใจ (ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตที่เต็มบริบูรณ์ สมปรารถนา อิ่มเอมและพึงพอใจ) ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะพระผู้สร้างของเราทรงรักเราและปรารถนาให้เราได้สิ่ีงที่ดีที่สุด (ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นชีวิตที่ง่ายที่สุด แต่จะเป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์ที่สุด)

ก่อนจบขอแบ่งปันคำเปรียบเทียบที่ขอยืมมาจากเื่พื่อนที่เป็นศิษยาภิบาล เขาพูดว่า หากคุณเป็นแฟนกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่ง และตัดสินใจที่จะไปดูการแข่งขันระดับมืออาชีพ คุณอาจเจียดเงินมาสักก้อนหนึ่งซื้อตั๋ว “แบบประหยัด” แล้วได้ที่นั่งไกลลิบ หรือ อาจยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อซื้่อที่นั่งใกล้ ๆ เพื่อดูการแข่งขันอย่างเป็นส่วนตัว ก็ได้ นี่ก็เหมือนกับชีวิตคริสเตียน การได้ดูพระเจ้าทรงทำพระราชกิจอย่างใกล้ชิด ไม่ได้มีไว้สำหรับคริสเตียนเฉพาะวันอาทิตย์ พวกเขาไม่ยอมควักกระเป๋า การดูพระเจ้าทรงทำพระราชกิจอย่างใกล้ชิด มีไว้สำหรับสาวกของพระคริสต์ผู้ที่ยอมทุ่มหมดใจ ยอมทิ้งความปรารถนาในชีวิตของตัวเอง เพื่อที่จะได้ติดตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิต พวกเขายอมเสียค่าใช้จ่าย (จำนนต่อพระคริสต์และน้ำพระทัยของพระองค์โดยสิ้นเชิง) พวกเขาได้ประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ และสามารถมองหน้าตัวเอง หรือคนอื่น และพระผู้สร้างของเขา ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีคำว่าเสียใจ! แล้วคุณเล่า ได้ควักกระเป๋าไปแล้วหรือไม่? คุณจะยอมควัีกกระเป๋าไหม? หากยอม คุณก็จะไม่โหยหาความหมายในชีวิตอีกเลย.

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

 
JUNCTION X © 2013. All Rights Reserved. Powered by Blogger
Top