Welcome

Innovation distinguishes between a leader and a follower.

" นวัตกรรมแยกผู้นำกับผู้ตามออกจากกัน " Steve Jobs

"นิยาม" ของคำว่า Hair-cut 

Hair-cut ก็คือการจ่ายชำระมูลหนี้ ที่มีการค้างชำระกันไว้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยมีข้อตกลงเจรจาเป็นการนำเสนอที่จะทำการลดมูลหนี้ที่คงค้างกันอยู่...ว่าจะมีการลดหนี้ให้เป็นจำนวนเท่าไหร่?

โดยคิดจากมูลหนี้ที่คงค้างทั้งหมด จากยอด ณ.ปัจจุบัน 

ซึ่งก็คือยอดหนี้ของ ณ.วันนี้ นั่นเอง

วันที่เรากำลังเจรจาต่อรองเรื่องส่วนลดหนี้กันอยู่ ณ.ขณะนี้

(ไม่ใช่ยอดหนี้ของเงินต้นในอดีต...ไม่ใช่ยอดหนี้ของวันที่เราเริ่มต้นหยุดจ่าย)


ซึ่งส่วนมากทางเจ้าหนี้มักจะเป็นผู้เสนอว่า จากมูลหนี้ที่คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ จะลดหนี้ให้เท่าไหร่? โดยการแจ้งเป็นตัวเลข ว่าจะลดให้กี่บาท หรือกี่เปอร์เซนต์ (ซึ่งส่วนมากจะเสนอตัวเลขเป็นบาท แต่ถ้าเราอยากรู้ว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์ ก็สามารถเอามาคำนวนเองได้)
ยกตัวอย่างเช่น มีหนี้คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ เป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาท (หนึ่งแสนบาท) ทางเจ้าหนี้เสนอมาว่า จะลดหนี้ให้เป็นจำนวน 40% ก็หมายความว่า ทางเจ้าหนี้พึงพอใจที่จะเรียกเอาเงินคืนเพียงแค่ 60,000.-บาท (60%) เท่านั้น...ส่วนอีก 40,000.-บาท (40%) นั้น...ทางเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้

:S - ขี้เกียจทวงแล้วโว้ย...ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจ่ายสักที

:ohmy: - ทางเจ้าหนี้ แทงบัญชีหนี้ของเราเป็น NPL ไปแล้ว (เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)
หรือตัดบัญชีของเราเป็น“หนี้สูญ”ไปแล้ว

:( - เจ้าหนี้ไม่อยากตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ” ตามข้อตกลงของ MOU และตามคำสั่งของ ธปท.
เพราะต้องถูกบังคับให้ตั้งเงินสำรองเพื่อกันเอาไว้ 100,000.-บาท (เป็นการตั้งสำรอง“หนี้สูญ”ในอัตรา 100% ของมูลหนี้ที่เสีย)
ทางฝ่ายเจ้าหนี้จึงมีความคิดที่ว่า สู้เอาเงินที่ตั้งสำรองจำนวนนี้ ไปปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกหนี้รายอื่นๆ ยังได้กำไรจากการขูดรีดอัตราดอกเบี้ยกับลูกหนี้รายใหม่อื่นๆ มากกว่าการเอาเงินมาตั้งสำรอง“หนี้สูญ”แบบนี้โดยที่ไม่ได้ดอกเบี้ยอะไรเลย แถมยังได้เงินสดกลับคืนมาจากลูกหนี้อีก 60,000.-บาท (ลดหนี้ให้ 40%) เมื่อเอาเงินทั้งสองก้อนนี้มารวมกันแล้ว ก็เป็นจำนวนเงิน 160,000.-บาท...สู้เอาเงินจำนวนนี้ไปปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยราคาแพงๆ ให้กับลูกค้ารายอื่นๆเสียยังจะดีกว่า

:dry: - ทางเจ้าหนี้ "กลัว" แพ้คดี ถ้าถึงขั้นการฟ้องร้องต่อศาล เพราะตัวเองก็มีการหมกเม็ด และการโกงอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้เอาไว้เพียบ...ดังนั้น ถ้าวันนี้ ได้เงินคืนกลับมาบ้างบางส่วน ก็ยังดีกว่าที่ได้คืนมาน้อย
หรือไม่ได้คืนเลยในชั้นศาล หากตัวเองฟ้องแล้วแพ้คดี (ตามสุภาษิตที่ว่า...กำขี้...ดีกว่ากำตด)

:sick: - ทางเจ้าหนี้กลัวว่าลูกหนี้จะเป็นอะไรไป...เนื่องจากการคิดสั้นของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเยอะ
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นอะไรไป (หมายถึง ล้มหายตายจากไป) หนี้ดังกล่าว จะเป็น"หนี้ศูนย์"(0)ทันที
และจะไปฟ้องร้องกับใครก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นหนี้สินส่วนบุคคล (หนี้ส่วนตัวที่ไม่มีผู้ค้ำประกัน) จึงไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ดังนั้น ถ้าอยากจะฟ้องต่อ เจ้าหนี้ก็ต้องฆ่าตัวตายตามลูกหนี้ เพื่อไปฟ้องร้องต่อจากท่านยมบาลเอาเอง (แล้วใครมันยอมจะฆ่าตัวตายเพื่อตามไปทวงหนี้ต่อล่ะวะ)

:cheer: - เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนตามที่ตัวเองพึงพอใจแล้ว โดยคิดจากส่วนต่างที่หักจากค่าคอมมิชชั่นในการทวงหนี้ออกไป...ตัวอย่างเช่น...เจ้าหนี้มีการตั้งค่าหัวในการทวงหนี้เราไว้ที่ 30% หากสำนักงานทวงหนี้ที่ใดก็ตาม
ที่สามารถทวงหนี้จากเราได้สำเร็จ...เช่น...ถ้าสมมุติว่า สำนักงานทวงหนี้ "ชั่ว"คอลเลคชั่น สามารถทวงหนี้เราได้ที่ 100,000.-บาท ดังนั้น สำนักงาน"ชั่ว"คอลเลคชั่น...รับเอาค่าคอมมิชชั่นนี้ไปเลย 30,000.-บาท เพื่อเป็นค่าแรงในการทวงหนี้ ส่วนทางเจ้าหนี้พอใจที่จะเอาเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาทเท่านั้นก็พอ ถ้าเป็นเช่นนั้น
สู้เราไปจ่ายชำระหนี้ให้กับทางเจ้าหนี้โดยตรง ไม่ดีกว่าเหรอ? (โดยไม่จ่ายผ่านสำนักงานทวงหนี้) ทางเจ้าหนี้ก็พอใจในการรับเงินคืนเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรทางเจ้าหนี้ก็มีความต้องการที่จะได้รับเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาท อยู่แล้วนี่ โดยไม่สนใจว่าจะได้เงินคืนมาจากใครหรือด้วยวิธีใดก็ตาม

:P - ทางเจ้าหนี้มีการขาย"หนี้เน่า"ของเรา ให้กับสำนักงานทวงหนี้ข้างนอก ในราคาถูกๆไปแล้ว
เนื่องจากขี้เกียจตั้งทุนสำรองหนี้สูญ (อาจขาย"หนี้เน่า"ของเราในราคาประมาณสัก 2-3 หมื่นบาท จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบันที่ 100,000.-บาท) เพื่อให้สำนักงานทวงหนี้ ไปทวงหนี้ต่อเอาเอง แล้วแต่จะตั้งราคาในการทวงต่อ
ดังนั้น ถ้าสำนักงานทวงหนี้เสนอราคาให้กับเราที่ 60,000.-บาท ในการทำ Hair-cut...ตัวสำนักงานทวงหนี้เองก็ยังได้กำไรจากส่วนต่างนี้ตั้ง 3-4 หมื่นบาท)

:pinch: - เจ้าหนี้รีบลดราคาในการทำ Hair-cut ให้...ด้วยราคาที่งามมาก เนื่องจากคดีขาดอายุความในการฟ้องร้องไปแล้ว 


ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกกันว่า

Hair-cut เกิดขึ้น

แต่กระบวนการ Hair-cut นี้ มิได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ต้องผ่านการบ่มระยะเวลามายาวนานพอสมควร โดยมีสูตรดังนี้

ต้องหยุดจ่ายซะก่อน ถึงจะเกิดกระบวนการ

Hair-cut ขึ้นได้


ยิ่งหยุดจ่ายนานเท่าไหร่

หนี้ก็ยิ่งเน่ามากขึ้นเท่านั้น


หนี้ยิ่งเน่ามากเท่าไหร่

ก็ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นเท่านั้น



หลายๆคนชอบเข้ามาตั้งคำถามที่ว่า
หยุดจ่ายมาได้ 3 เดือนแล้วครับ...จะได้ส่วนลดแล้วหรือยังครับ และถ้าได้ลด จะได้ส่วนลดกี่เปอร์เซนต์ครับ

คำตอบที่ชัดเจนก็คือ

ยัง!...และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย


เพราะการหยุดจ่ายเพียงแค่ 2-3 เดือน มันเป็นเพียงบันไดก้าวแรก ที่จะไปสู่กระบวนการ Hair-cut อันแท้จริงต่อไป

การ Hair-cut ที่แท้จริง มันต้องหยุดจ่ายนาน 8-10 เดือนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจต้องรอเป็นปี หรือจนถึงขั้นได้รับหมายศาลแล้วนั่นแหละ

จึงมีคำถามต่อมาอีกว่า...
แล้วถ้าเช่นนั้น ต้องหยุดจ่ายนานเท่าไหร่? ถึงจะได้รับหมายศาลล่ะ?

คำตอบก็คือ
เฉลี่ยโดยทั่วไปแล้ว ประมาณ 1 ปีครับ
แต่บางราย...ก็นานเกินกว่า 1 ปีนะครับ
ยกเว้น "บัตรเครดิตซิตี้แบงค์ VISA" และ "บัตรเครดิต UOB" เพียงสองประเภทนี้เท่านั้น ที่ฟ้องเร็วที่สุด ("บัตรเครดิตซิตี้แบงค์ VISA" และ "บัตรเครดิต UOB" สองรายการนี้เท่านั้น ที่ฟ้องเร็วมาก) โดยหยุดจ่ายประมาณ 4-6 เดือนก็ฟ้องแล้ว...แต่ถ้าหากเป็นหนี้ของ"ซิตี้แบงค์" หรือ "UOB"หลายๆประเภท เช่น หนี้บัตรเครดิต VISA , หนี้สินเชื่อ Personal loan , หนี้บัตรซิตี้เรดดี้เครดิต...เวลาฟ้อง จะถูกแยกหมายศาลฟ้องให้เป็นแบบ คดีใคร-คดีมัน ประเภทใคร-ประเภทมัน (จะไม่ฟ้องรวมกันให้เป็นคดีเดียว)
ขอย้ำว่า...หนี้บัตรเครดิต VISA ของ"ซิตี้แบงค์"และ"UOB" จะเป็นหนี้ประเภทที่ถูกฟ้องเร็วที่สุด และจะไม่ถูกนำไปฟ้องรวมกับหนี้ประเภทอื่นๆ
 อาทิเช่น สินเชื่อ หรือ บัตรกดเงินสด ซึ่งกว่าจะฟ้องก็ต้องใช้เวลานานประมาณ 1ปี หรือ 1ปีกว่าขึ้นไป...แต่บัตรเครดิต VISA ของซิตี้แบงค์ หรือของ UOB ทั้งสองอันนี้ ถ้าหากเราได้รับหมายศาลแล้ว...ก็จะได้รับข้อเสนอราคา Hair-cut ที่งามสุดๆเช่นกัน

สำหรับส่วนลดที่ทางเจ้าหนี้เสนอมาให้ ก็มีตั้งแต่ 30% , 40% , 50% , 60% , 70% แล้วแต่เงื่อนไขการเจรจา , เทคนิคการต่อรอง , นโยบายส่วนลดหนี้ของสถาบันการเงินนั้นๆ และ ความ“เน่า”ของหนี้ที่หยุดจ่าย

เพียงแต่อยากให้มองว่า เงื่อนไขที่ทางเจ้าหนี้เสนอมานั้น เราจ่ายไหวไหม? น่าสนใจและรับได้หรือเปล่า? อย่าไปมองเพียงแค่ต้องการให้ได้ส่วนลดเยอะๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาว่าถ้าเราจ่ายไปแล้ว เราจะได้ลดเจ้าหนี้ไปอีกหนึ่งราย(ได้ลดศัตรูในการทวงหนี้ไปแล้วอีกหนึ่งที่) ที่เหลือก็ค่อยๆมาปลดหนี้ทีละรายต่อไป ตามกำลังและความสามารถ (แต่ต้องจ่ายไหวจริงๆนะ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินที่ต้องเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นมาปิด Hair-cut อีก มิฉะนั้น มันจะไม่มีวันจบสิ้น)...ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถปลดหนี้ได้โดยเร็ววัน

และทั้งนี้ทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้รายไหนๆ เงื่อนไขของการ Hair-cut ก็เหมือนๆกันหมดทั้งนั้น คือ
การเสนอส่วนลดให้ในราคาที่งามมาก แต่ต้องจ่ายชำระคืนเพียง“งวดเดียว”เท่านั้น…โดยไม่มีการผ่อน (จ่ายปิด“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีหนี้เน่า)
แต่ก็มีบางคนถามต่ออีกว่า...แล้วถ้าอยากได้ส่วนลด Hair-cut เนื่องจากหนี้ก้อนนี้มันเน่ามากพอสมควรแล้ว แต่เราไม่สามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”หรือ“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีได้...เราสามารถขอส่วนลดด้วย และก็ขอผ่อนต่อด้วย จะได้ไหม?

ผมจะขอตอบว่า...ไอ้ได้น่ะ มันได้อยู่หรอกนะครับ แต่ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันจะไม่ยอมให้คุณสามารถผ่อนต่อ ในระยะเวลานานๆหรอกนะครับ (เต็มที่สูงสุด มันก็ยอมให้ผ่อนได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น) และส่วนลดที่มันจะให้ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย ขอยกตัวอย่างให้ดูตามนี้นะครับ

สมมุติว่าเมื่อปีที่แล้ว เรามีหนี้อยู่กับธนาคาร A เป็นจำนวนเงิน 80,000.-บาท แล้วเราก็หยุดจ่ายหนี้ตัวนี้มานานประมาณ 1 ปีแล้ว...โดย ณ.ปัจจุบัน(ณ.ตอนนี้) หนี้เงินต้น+ดอกเบี้ย ปาเข้าเป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาทแล้ว โดยทางฝ่ายเจ้าหนี้ได้ติดต่อขอให้เราชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อทำการปิดบัญชี โดยจะมีส่วนลดให้ด้วย ถ้าสามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”(ตูมเดียว)ได้ ก็จะให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง(50%) จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบัน (100,000.-บาท)

ถ้าเราตอบกลับไปว่า จ่าย“งวดเดียว”ไม่ไหว ขอผ่อนได้ไหม...ราคามันก็จะเป็นไปตามนี้ครับ

-ถ้าสามารถจ่าย“งวดเดียว”ได้...ก็จ่ายเพียง 50,000.-บาท เพื่อปิดบัญชี ส่วนลด 50%
-ถ้าขอผ่อน 2 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 27,500.-บาท (รวม 2 งวดก็เป็นเงิน 55,000.-บาท) ลด 45%
-ถ้าขอผ่อน 3 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 20,000.-บาท (รวม 3 งวดก็เป็นเงิน 60,000.-บาท) ลด 40%
-ถ้าขอผ่อน 4 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 16,250.-บาท (รวม 4 งวดก็เป็นเงิน 65,000.-บาท) ลด 35%
-ถ้าขอผ่อน 5 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 14,000.-บาท (รวม 5 งวดก็เป็นเงิน 70,000.-บาท) ลด 30%
-ถ้าขอผ่อน 6 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 12,250.-บาท (รวม 6 งวดก็เป็นเงิน 75,000.-บาท) ลด 25%

ก็แล้วแต่คุณไปพิจารณาเอาเองนะครับ ว่าอยากได้ส่วนลดในราคาแบบไหน

และสุดท้ายแล้ว สำหรับคำว่า Hair-cut

Hair-cut สามารถทำได้ตลอด

ทุกช่วงเวลาหลังจากที่"หนี้"ของเรา"เน่า"แล้ว
...ไม่ว่าจะเป็น

- ก่อนได้รับหมายฟ้อง (แต่ต้องหยุดจ่ายนานๆ หลายๆเดือนซะก่อนนะครับ)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี โดยรอขึ้นศาลอีกครั้งในนัดหน้านัด หรือนัดต่อไป (ศาลยังไม่ได้พิพากษา)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว และไปขึ้นศาลมาแล้ว โดยไปทำ"สัญญาไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ"ที่ชั้นศาลมาแล้ว
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่าง รอการจ่ายชำระหนี้คืนตามคำพิพากษา
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จ่ายชำระหนี้คืน จนกระทั่งถูกอายัดเงินเดือน หรือถูกอายัดทรัพย์สินอยู่ในขณะนี้

เห็นไหมล่ะครับ ว่า Hair-cut สามารถทำได้ตลอดชีพจริงๆ

แต่การ Hair-cut ที่ได้ราคางามที่สุด (หรือที่เรียกว่า "นาทีทอง" นั้น...มักจะอยู่ในช่วงของเวลาดังต่อไปนี้
- หยุดจ่ายนานเกิน 10 เดือนขึ้นไป
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาลในนัดแรก
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี อีกหลายนัด (ยังไม่ได้พิพากษา)
ถ้าพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปแล้ว โปรโมชั่น "นาทีทอง" อาจหมดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำ Hair-cut ไม่ได้...เพียงแต่ว่า อาจไม่ได้ราคางามๆตามโปรโมชั่นของ "นาทีทอง" ก็เท่านั้นเอง

และที่สำคัญ การทำ Hair-cut จะต้องให้ทางเจ้าหนี้ออกเอกสาร

ยืนยันว่า จะลดหนี้ให้ตามเงื่อนไขที่เจรจาตกลงกันไว้ ด้วยทุกครั้ง

โดยเราต้องได้รับหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเจ้าหนี้

ก่อนที่จะทำการจ่ายชำระ Hair-cut ใดๆ 


อย่าไปจ่ายหนี้ที่ตกลงกันด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด (สัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่เป็นแค่วาจาหรือ“ลมปาก” ไม่สามารถใช้เป็นข้อยืนยันตามกฏหมายได้)

ขอย้ำอีกครั้ง...ถ้าคุณยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันการ

ลดหนี้ (หนังสือ Hair-cut) เสียก่อน

ห้ามจ่ายโดยเด็ดขาด...!


ถูกหลอกให้จ่ายเงินเข้าไปเพื่อหักหนี้ในราคาเดิม(ไม่มีส่วนลด) โดยโกหกว่าจะยอมลดราคา Hair-cut ให้
ด้วยคำพูด หรือการรับปากกันทางโทรศัพท์ แต่แล้วก็ไม่ยอมทำ Hair-cut ให้จริงๆ

มีลูกหนี้โดนหลอกมานับไม่ถ้วนแล้วนะครับ...ขอเตือน...

19459-attachment.jpg
2026.jpg


ตัวอย่างหนังสือ Hair-cut สามารถไปดูได้จากกระทู้ใน Link นี้

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=8&id=829&Itemid=52
.



ระยะเวลา และขั้นตอนในการทวงหนี้


1. ทวงหนี้ทางโทรศัพท์ (1-2 เดือนแรก) โดยสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ตัวจริง

2. ทวงหนี้ทางโทรศัพท์ + จดหมายทวงหนี้ (ช่วงเดือนที่ 2-3) โดยเริ่มมีการเสนอให้ทำ"ประนอมหนี้" , "ปรับโครงสร้างหนี้" (ซึ่งสรุปก็คือหลอกให้ทำ"สัญญานรก"นั่นแหละ แต่เรียกชื่อให้มันดูไพเราะสักหน่อย ก็เท่านั้น) หรือ อาจโทรมาหลอกลวงให้ลูกหนี้ทำการ"จ่ายหยอด"เพื่อเดินบัญชี...เป็นต้น
ข้อเสียของการ "จ่ายหยอด" เพื่อเดินบัญชี
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=19608&Itemid=64

3. ส่งเรื่องออกไปให้สำนักงานกฏหมายข้างนอก ให้เป็นผู้ทำการทวงหนี้แทน ซึ่งเป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 1(ช่วงเดือนที่ 4-6) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 20-30% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนด)

4. ถ้าสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 1 ทวงหนี้ไม่ได้ ก็เลิกจ้างมันทวง แล้วหันไปเปลี่ยนเป็นสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 2 ให้มาทวงหนี้ต่อ (เดือนที่ 7-9) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 30-40% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนด)

5. ถ้าสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 2 ก็ยังทวงหนี้ไม่ได้อีก ก็เลิกจ้างมันทวง แล้วหันไปเปลี่ยนเป็นสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 3 ให้มาทวงหนี้ต่ออีก (ช่วงเดือนที่ 10-12) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 40-50% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนด)

6. ถ้าเปลี่ยนสำนักงานกฏหมายทวงหนี้ไปตั้งหลายบริษัทแล้ว ยังไงก็ทวงไม่ได้สักที ก็ส่งฟ้องศาล (เดือนที่ 12 เป็นต้นไป จนถึงปีครึ่ง) โดยยังคงมีข้อเสนอเรื่องส่วนลดในการ Hair cut ให้อยู่ แต่เป็นราคาช่วงที่งามที่สุด (หรือที่เรียกกันว่า "นาทีทอง" ในการทำ Hair cut โดยสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ เป็นผู้กำหนดราคา)

ดังนั้น หากมีลูกหนี้บางราย ที่เจ้าหนี้มันทำเรื่องฟ้องศาลช้ากว่าปกติ (เกินกว่า 1ปีครึ่งขึ้นไป)
ลูกหนี้อาจถูกทวงหนี้โดยสำนักงานกฏหมาย(บริษัททวงหนี้) ที่ต้องถูกเปลี่ยนบริษัททวงหนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ซ้ำหน้ากัน เกินกว่า 5บริษัททวงหนี้...จนกว่าหมายศาลฟ้องจะมา




ข้อสังเกตุ : ณ ปัจจุบันนี้ มีบริษัทรับจ้างทวงหนี้ในประเทศไทยทั้งหมด ประมาณพันกว่าบริษัท

ซึ่งบริษัทรับจ้างทวงหนี้พวกนี้ ส่วนใหญ่มักตั้งชื่อที่ใช้จดทะเบียนในนามนิติบุคคลว่า "สำนักงานกฏหมาย" หรือ "สำนักงานทนายความ" เพื่อสร้างความตกใจต่อลูกหนี้...เพราะในชื่อของบริษัทดังกล่าว มีคำว่า "กฏหมาย" หรือ "ทนายความ" ปรากฏอยู่ด้วย

พอลูกหนี้ได้ยินหรือได้เห็นชื่อของบริษัททวงหนี้เหล่านี้ ก็มักเกิดความกลัวและคิดไปเองว่า "เรื่องหนี้ของฉัน ตกไปอยู่ในขั้นตอนของกฏหมายแล้วหรือนี่? , สงสัยจะโดนฟ้องแล้วแน่เลย?"...แต่โดยแท้จริงแล้ว บริษัทพวกนี้ มีอาชีพหรือรายได้หลักมาจากการ"รับจ้างทวงหนี้"เท่านั้น

และถ้าหากบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายแรก ไม่สามารถทวงหนี้ได้ตามที่ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างได้กำหนดไว้ (ซึ่งส่วนมากทางสถาบันการเงิน จะกำหนดให้บริษัทที่รับจ้างทวงหนี้ ต้องทวงหนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา 2-3 เดือนเท่านั้น) บริษัทที่รับจ้างทวงหนี้ดังกล่าว ก็จะถูกทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) ทำการ"ถีบหัวส่ง"ออกไป...เพราะถือว่า"ไร้ความสามารถ"ในการทวงหนี้ให้ได้ภายใน 2-3 เดือน ตามที่เจ้าหนี้ตัวจริงได้กำหนดเอาไว้

แล้วหลังจากนั้น...ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง)ก็จะไปทำการว่าจ้างบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายใหม่ ให้มาทำการทวงหนี้แทนบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายเดิมที่ถูก"ถีบหัวส่ง"ออกไป โดยกำหนดว่าจะต้องทวงหนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา 2-3 เดือน เช่นกัน

หากบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายที่สองนี้ ก็ยังไม่สามารถทวงหนี้กับลูกหนี้ได้ภายใน 2-3 เดือนอีก ก็จะถูก"ถีบหัวส่ง"ออกไปอีก แล้วทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง)ก็จะไปว่าจ้างบริษัททวงหนี้รายใหม่ ให้มาทวงหนี้แทนเหมือนเดิม...เป็น"วัฏจักร"เช่นนี้เรื่อยไปตลอด จนกว่าจะทวงหนี้ได้สำเร็จ(Hair cut สำเร็จ) หรือจนกว่าจะฟ้องศาล ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานเป็นปี

ในเมื่อ"บริษัทรับจ้างทวงหนี้"ในประเทศไทย มันมีจำนวนมากมายนับพันบริษัท
ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) จึงสามารถใช้บริการว่าจ้างบริษัทไหนก็ได้ โดยเรียกมาใช้งานได้โดยง่าย และก็สามารถ"ถีบหัวส่ง"เปลี่ยนให้ออกไปได้ง่ายๆเช่นกัน หากไร้น้ำยาในการทวงหนี้ได้สำเร็จ


แล้วอีกอย่างหนึ่ง บริษัทรับจ้างทวงหนี้เหล่านี้ ก็ไม่ได้มีรายได้เป็นเงินเดือน สำหรับค่าว่าจ้างในการทวงหนี้จากทางเจ้าหนี้ตัวจริง แต่จะได้รับเป็น"เงินค่าคอมมิชชั่น"ตามจำนวนเงินที่ทวงหนี้มาได้สำเร็จ (ก็คล้ายๆกับอาชีพ"เซลล์แมน"ขายของนั่นแหละ หากขายของได้ ถึงจะได้ค่าคอมมิชชั้น หากขายของไม่ได้ก็"อด")

ด้วยสาเหตุนี้...จึงเป็นบ่อเกิดแห่ง"การทวงหนี้ที่ไร้จริยธรรม"จากบริษัทที่รับจ้างทวงหนี้บางราย ซึ่งใช้วิธีการทวงหนี้แบบเลวๆ ในลักษณะของการข่มขู่และกดดันลูกหนี้ เพื่อให้ตัวเองได้เงินมาจากลูกหนี้ไห้ได้(ไม่งั้นจะโดน"ถีบหัวส่ง"และ"อด แdก ค่าคอมฯด้วย") จึงต้องใช้วิธีในการทวงหนี้แบบชั่วๆ หรืออ้างข้อกฏหมาย"มั่วๆ"เพื่อข่มขู่ลูกหนี้ต่างๆนาๆ

หากใครโดนการข่มขู่ทวงหนี้ด้วยวิธีการเลวๆแบบนี้ ก็อย่าไปตกใจ สามารถไปดูวิธีการรับมือการทวงหนี้และการใช้สิทธิ์ปกป้องตนเองได้จากในกระทู้นี้

รู้ทันการทวงหนี้ / เตรียมรับมือการทวงหนี้
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=18758&Itemid=64


สัญญา_นรก” คืออะไร?

สัญญา นรก” ก็คือสัญญาที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้หยิบยื่นเงือนไขให้กับลูกหนี้ หลังจากที่ลูกหนี้หยุดชำระหนี้บัตรเครดิต หรือหยุดชำระหนี้สินเชื่อ มานานสักระยะหนึ่งแล้ว(หยุดจ่ายประมาณ 2 เดือนขึ้นไป) โดยทางเจ้าหนี้จะเสนอให้ทางฝ่ายลูกหนี้กู้เงินก้อนใหม่จากทางเจ้าหนี้ เพื่อไปปิดหนี้ตัวเดิมที่ได้หยุดจ่ายไป แล้วมาผ่อนต่อในสัญญาเงินกู้ตัวใหม่นี้แทน โดยเสนอว่าจะลดดอกเบี้ยให้ ยอดผ่อนจ่ายต่อเดือนน้อยลง แต่ระยะเวลาในการผ่อนจ่ายนานขึ้น(เช่น 4 - 5 ปี)เป็นต้น

เงินกู้ก้อนใหม่ที่ได้มานี้ จะเอาไปใช้ปิดหนี้ที่ค้างชำระของเดิมเลยโดยตรง เงินก้อนนี้จะไม่ผ่านมือของลูกหนี้เลย

ยกตัวอย่างเช่น นายพอเพียงมียอดหนี้บัตรเครดิตอยู่ 50,000 บาท แล้วนายพอเพียงก็หยุดจ่ายหนี้มานานประมาณ 3 เดือนแล้ว จนยอดหนี้กลายเป็น 56,200 บาท (ยอดหนี้เมื่อสามเดือนก่อน + ดอกเบี้ย + ค่าปรับล่าช้า) แล้วทางเจ้าหนี้ก็เสนอให้นายพอเพียงทำสัญญานรก เพื่อกู้เอาเงิน 56,200 บาท ไปจ่ายปิดหนี้ของบัตรเครดิต แล้วมาผ่อนหนี้กับสัญญานรกตัวนี้แทน ซึ่งคิดดอกเบี้ย 13% ต่อปี สามารถผ่อนได้ยาวนานถึง 5ปี(60งวด) โดยผ่อนงวดละ 1,546 บาท เป็นต้น

สัญญานรกประเภทนี้ จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป(ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้แต่ละราย ว่าจะตั้งชื่อเรียกว่าอะไร) เช่น

- สัญญาประนอมหนี้

- สัญญาปรับโครงสร้างหนี้

- สินเชื่อศุภฤกษ์

- สินเชื่อรีไรท์

- สินเชื่อผ่อนสบาย
 (แต่ไปตายในภายภาคหน้า)...เป็นต้น

ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างไรก็ตาม ต่างก็เป็น“สัญญานรก”ทั้งนั้น เพียงแต่เรียกชื่อให้มันฟังดูไพเราะเสนาะหู ก็เท่านั้นเอง


ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำ"สัญญา นรก"

ข้อดีก็คือ

- ได้ยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาเดิม และอาจมีการเสนอรวมหนี้ให้ด้วย เช่น มีข้อเสนอว่าจะรวมหนี้ให้ทั้ง บัตรเครดิต+สินเชื่อบุคคล ให้มารวมเป็นยอดหนี้อยู่ในสัญญานรกเดียวกัน(สำหรับเจ้าหนี้รายเดียวกัน) พร้อมกับคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าเดิม โดยไม่เกิน 15% ต่อปี เป็นต้น

- เจ้าหนี้ไม่โทรมาทวงหนี้ให้รำคาญ

- เหมาะสำหรับพวกลูกหนี้“หน้าบาง” ที่กลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองเป็นหนี้ เพราะกลัวจะอับอายขายขี้หน้า ทั้งๆที่เรื่องหนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดา เป็นได้แค่เพียง“คดีแพ่ง” ไม่ได้ติดคุกติดตะราง เหมือนกับคดีของพวกที่ฆ่าคนตายหรือค้ายาบ้า

- เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่ปิดบังความจริงเรื่องการเป็นหนี้ กับคนในครอบครัวของตนเอง โดยยอมที่จะซื้อเวลาออกไปอีกสักระยะ แต่ยอมที่จะพบกับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คิดแต่เพียงแค่ให้ปัญหาหนี้ มันผ่านพ้นเพียงแค่วันนี้ไปก่อน โดยไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่เลือกที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปวันๆ
เปรียบเสมือนกับคนที่ป่วยเป็น“ไส้ติ่งอักเสบ” ซึ่งทางรักษาให้หายก็คือ ต้องไปหาหมอเพื่อผ่าเอาไส้ติ่งที่อักเสบออก จึงเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ
แต่ถ้าดันไปกลัวหมอ กลัวเข็มฉีดยา กลัวการผ่าตัด ก็เลยเลือกที่จะไปซื้อ“ยาแก้ปวด”มากินแก้ปวดไปวันๆ ซึ่งเป็นการบรรเทาอาการป่วยที่ปลายเหตุเฉพาะหน้า ยอมอดทนรอคอยวันที่ไส้ติ่งแตก และเมื่อวันนั้นมาถึงก็อาจสายเกินแก้แล้ว

- วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น และต้องเป็นยอดหนี้ที่ไม่สูงมากนัก
โดยเมื่อคำนวนออกมาแล้ว ตัวลูกหนี้เองต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถผ่อนจ่ายในระยะยาวได้จริงๆ เพราะถ้าหากในอนาคต ลูกหนี้เกิดตกงานหรือขาดรายได้ประจำขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถจ่ายตาม“สัญญานรก”ได้ดังเดิม วันนั้นแหละครับ ที่จะได้รู้ว่า“ไส้ติ่งแตก”มันเป็นอย่างไร

159173.jpg



ข้อเสียก็คือ

- เป็นการฉีกสัญญาตามในใบสมัครเดิมทิ้ง แล้วให้มาใช้เงื่อนไขตามใน"สัญญานรก"ฉบับใหม่ทันที

- เป็นการแก้ไข“สัญญาที่ผิดกฏหมาย” เปลี่ยนให้มาเป็น“สัญญาที่ถูกต้องตามกฏหมาย
เหตุผลเพราะสัญญาฉบับเดิม เป็นสัญญาที่มีการคิด“ดอกเบี้ย”เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (ตาม ปพพ.ของรัฐธรรมนูญ ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี) แต่สัญญาในใบสมัครบัตรเครดิต มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 20% ต่อปี , สัญญาสินเชื่อ/เงินกู้ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี , สัญญาบัตรกดเงินสด มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี

โดย“สัญญานรก”ฉบับใหม่นี้ จะมีการแก้ไขอัตราดอกเบี้ยให้ลงลด ไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (เป็นการเปลี่ยน“ดำ”ให้เป็น“ขาว” / เปลี่ยน“ชั่ว”ให้เป็น“ดี” / เปลี่ยน“ผิด”ให้เป็น“ถูก”)...เพื่อที่เวลาสู้คดีกันที่ชั้นศาล เจ้าหนี้จะได้ชนะคดี โดยสามารถอ้างต่อศาลได้ว่า ในสัญญาคิดดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด ลูกหนี้ก็จะแพ้คดีไปโดยปริยาย

- เป็นการทำสัญญาประเภท“คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย”ที่ไม่เป็นธรรม(คิดดอกเบี้ยทบต้น)
ถ้าดูกันเผินๆอาจมองได้ว่า...เออก็ดีนะ กับสัญญานรกตัวใหม่นี้ เพราะดอกเบี้ยถูกลงไปตั้งเยอะเลย เหลือแค่ 13% ต่อปีเท่านั้นเอง...แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

เหตุผลจากกรณีตัวอย่างของนายพอเพียง ที่ถูกหลอกให้ทำสัญญานรก โดยเอายอดเงิน 56,200 บาท มาเป็นเงินต้นในสัญญานรก แทนที่จะเอาเงินต้นที่ 50,000 บาทมาเป็นเงินต้นในสัญญา ซึ่งเป็นการโกงโดยใช้วิธี“คิดดอกเบี้ยทบต้น” เพราะเงินจำนวน 56,200 บาทนี้ เกิดจากการเอาเงินต้นเดิมที่ 50,000 บาท + ดอกเบี้ย + ค่าปรับล่าช้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงออกมาเป็นจำนวนเงิน 56,200 บาท
ดังนั้นถ้าหากเอาจำนวนเงิน 56,200 บาทนี้ เป็นตัวตั้งของเงินต้นใหม่ในสัญญานรก ก็ถือเป็นการเอาดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตของเดิม(20% ต่อปี) มาทำเป็นเงินต้นด้วย เพราะเงินก้อนนี้มันได้ถูกบวกดอกเบี้ยมาเรียบร้อยแล้ว แล้วยังเอามาทำเป็นเงินต้นก้อนใหม่เพื่อคิดดอกเบี้ยใหม่ซ้ำเข้าไปอีก ในอัตรา 13% ต่อปีตามสัญญานรก
ถ้าหากจะทำให้มันถูกต้องจริงๆ ก็ต้องเอาจำนวนเงิน 50,000 บาท มาทำเป็นเงินต้นสิครับ แล้วค่อยมาคิดดอกเบี้ย 13% ต่อปี จากเงินต้นที่ 50,000 บาท...จึงจะเรียกได้ว่า ไม่เอาดอกเบี้ยเดิมมาทบต้น...จริงไหม?

คุณเคยคิดไหมว่า ตอนที่เรายังเป็น"ลูกหนี้ชั้นดี"อยู่(ยังไม่ได้หยุดจ่าย) ทำไมทางฝ่ายเจ้าหนี้มันถึงไม่คิดดอกเบี้ยกับเราที่ 13% ต่อปี (เสือกคิดดอกเบี้ยกับเราตั้ง 20-28% ต่อปีมาโดยตลอด)
แต่พอเราเป็น"ลูกหนี้ชั้นเลว"(หยุดจ่ายแม่งหลายๆเดือน) กลับมาทำใจดี ลดดอกเบี้ยให้เหลือแค่ 13% ต่อปี แถมยังให้ผ่อนได้อีกตั้ง 5ปี

แล้วทำไมมันถึงไม่คิดดอกเบี้ยกับเราที่ 13% ต่อปี เสียตั้งแต่ทีแรกเลยวะ?

- หากมีหนี้หลายราย แล้วลูกหนี้ดันไปทำสัญญานรกไว้ทุกราย สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม ก็คือการจ่ายไม่ไหวเพราะมีหนี้มากราย แล้วก็ต้องหยุดจ่ายอยู่ดี

- หากทำสัญญานรกไปแล้ว แต่จ่ายไม่ไหวหรือหยุดจ่าย จะถูกฟ้องเร็วมาก
เหตุผลเพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้ ได้ทำการแก้ไขสัญญาให้ถูกต้องตามกฏหมาย โดยจะมัดลูกหนี้ให้“ดิ้นไม่หลุด”และไม่มีประเด็นต่อสู้คดีในทางกฏหมายด้วย แล้วเมื่อฟ้องคดี ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะใช้สัญญานรกฉบับใหม่นี้ นำฟ้องต่อศาลโดยไม่อ้างถึงสัญญาฉบับเดิมเลยแม้แต่น้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องรอระยะเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีก เพราะถึงอย่างไรทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ชนะคดีอยู่แล้ว

- การขอส่วนลดหนี้ (Hair cut) หลังจากที่ไปทำสัญญานรกไว้แล้ว จะได้ราคา Hair cut ที่ไม่งาม
เหตุผลคล้ายกับที่อธิบายไว้ข้างบน ก็ในเมื่อลูกหนี้ดันพลาดไปทำสัญญานรกเอาไว้แล้ว ทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ได้เปรียบเต็มๆในทางกฏหมาย กล่าวคือหากลูกหนี้หยุดจ่ายเมื่อไหร่ ก็ไปฟ้องศาลเพื่อบีบบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้เต็มตามจำนวนได้สบายเลย เพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้มีโอกาสชนะคดีแบบใสๆ แล้วจะไปยอมขาดทุนโดยให้ส่วนลดหนี้(Hair cut)ให้กับลูกหนี้เยอะๆไปทำไม?

- เป็นการตัดอายุความของหนี้ตัวเดิมทิ้ง แล้วให้เริ่มนับอายุความกันใหม่ หากหยุดจ่ายหนี้ของสัญญานรก
ขอเตือนเพิ่มเติมว่า อายุความของ“สัญญานรก”นั้น...ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อ(ซึ่งมีอายุความ 5 ปี) แต่ก็มี“สัญญานรก”บางแห่ง แอบเขียนระบุในสัญญาไว้ว่าเป็นหนี้ประเภท“เงินกู้” สัญญานรกพวกนี้ก็จะมีอายุความเทียบเท่ากับ“สัญญาเงินกู้”ทันที(ซึ่งมีอายุความ 10 ปี)


*** สามารถไปอ่านเพิ่มเติมเรื่อง“อายุความ” ได้จากในกระทู้นี้ *** 
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=813&Itemid=29


เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ

ที่บอกว่า"ผ่อนสบาย"แล้วไปตายในภายหน้า มันเป็นอย่างไร



มีสมาชิกอยู่หลายๆท่านที่ตั้งคำถาม ถามมาอยู่บ่อยๆว่า

- เพิ่งได้รู้จักเวปบอร์ดแห่งนี้

- เพิ่งได้เข้ามาอ่านความรู้ต่างๆ

- เพิ่งได้รู้ความจริงว่า การทำ“สัญญา นรก” นั้น...มันเลวร้ายเพียงใด


แต่...กว่าจะมารู้ก็พลาดท่าไปเสียแล้ว เพราะเพิ่งไปเซ็นต์ทำ“สัญญา นรก”ไปแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

แต่...ก็ยังไม่ได้ไปจ่ายเงินค่าผ่อนสำหรับ“งวดแรก”ของสัญญานรกเลยนะ เพราะเพิ่งเซ็นต์สัญญากันไปเมื่อไม่นาน ยังไม่ถึงวันที่ต้องผ่อนจ่าย“งวดแรก”เลย


แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี เพิ่งพลาดท่าไปหยกๆ พอมีทางออกช่วยเหลือบ้างได้ไหม?


ฮะแอ่ม...ขอตอบว่า ยังพอมี“ทางออก”อยู่ครับ :im_here:

กล่าวคือ “สัญญานรก”หรือสัญญาใดๆ ที่เกิดขึ้นจากความผูกพันมาจากสัญญาในตัวเดิม แล้วนำมาเชื่อมโยงเพื่อเปลี่ยนให้เป็นสัญญาตัวใหม่นั้น จะยังไม่มีผลสมบูรณ์ในทางกฏหมาย
ความสมบูรณ์ของ“สัญญาตัวใหม่”ในทางกฏหมาย จะสมบูรณ์จนสามารถเอาไปฟ้องร้องให้เป็นคดีความได้...ก็ต่อเมื่อ

- ต้องมีการทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีลายเซ็นต์ของ ผู้กู้(ลูกหนี้) , ผู้ให้กู้(เจ้าหนี้) , เอกสารประกอบในการขอกู้(สำเนาบัตร ปชช. , สำเนาทะเบียนบ้าน)...เป็นต้น
- ในสัญญาตัวใหม่ จะต้องมีการกำหนดจำนวนเงินที่ขอกู้เอาไว้ชัดเจน , อัตราดอกเบี้ย(เท่าไหร่)? , ผ่อนกี่งวด? , ผ่อนงวดละกี่บาท?
- หลังจากที่เซ็นต์ลงนามลายมือชื่อในสัญญาตัวใหม่ ครบทุกลายเซ็นต์เรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการจ่ายเงินผ่อนเข้าไปด้วย“อย่างน้อยหนึ่งงวด” สำหรับสัญญาตัวใหม่นี้

หากองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามข้อข้างบนนี้“ไม่ครบ”(ขาดไปข้อใดข้อหนึ่ง)...ก็จะถือว่า สัญญาตัวใหม่ฉบับนี้ “ไม่สมบูรณ์”ในทางกฏหมาย และไม่สามารถนำมาใช้บังคับในทางกฏหมายได้

ดังนั้น หากสมาชิกท่านใดที่พลาดท่าเสียที หลวมตัวไปเซ็นต์“สัญญานรก”ไปซะแล้ว แต่ยังไม่ได้จ่ายเงินก้อนแรกเป็นค่าผ่อน...ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าหากไม่ประสงค์จะทำสัญญานรกฉบับนี้ต่อไป

ก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินค่า“งวดแรก”สิครับ (นี่แหละครับ วิธีการปฎิเสธสัญญากันแบบง่ายๆ)

แล้วสัญญามันก็จะไม่สมบูรณ์(เป็นโมฆะไปเอง) และถ้าหากฝ่ายเจ้าหนี้มันอยากจะฟ้อง มันก็จะต้องไปขุดเอาสัญญาตัวเก่า(ตัวเดิม)มาฟ้องตามขั้นตอนที่มันควรจะเป็น กระบวนต่างๆ มันก็จะกลับเข้าสู่ขั้นตอนตามปกติต่อไป

ส่วนสำหรับสมาชิกท่านใด ที่พลาดท่าไปเซ็นต์สัญญาแล้ว แถมยังผ่อนจ่ายไปแล้วด้วย...ผมก็คงต้องกล่าวคำว่า
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ...ไม่มีทางไปยกเลิกสัญญาได้อีกแล้วครับ (การที่ไปเซ็นต์ชื่อในสัญญา และไปจ่ายเงินให้ด้วย ในทางกฏหมายจะถือว่า เป็นการยอมรับสัญญาโดยความเต็มใจไม่ปฎิเสธ)
แต่ไม่เป็นไรครับ...ขอให้สู้ต่อไป...ขอเป็นกำลังใจให้
ถึงจะพลาดทำสัญญานรก“สมบูรณ์”ไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าจ่ายไม่ไหวจริงๆ...ก็หยุดจ่ายซะเถอะครับ ทางออกอื่นๆยังมีอีก
ถึงแม้มันจะไม่ง่ายเหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่เขาไม่ได้ทำ“สัญญานรก”ก็ตามที แต่ถ้าคุณยังไม่ยอม“หยุดจ่าย”...หนี้ของคุณก็จะไม่หยุดเช่นเดียวกัน
.



.
สูตรสำเร็จของการ Hair-cut...พูดง่ายๆก็คือ

ถ้ามีตังค์ ก็เสียงดัง-เสียงใหญ่ ในการเจรจาขอลดหนี้ได้ง่าย
แต่ถ้าไม่มีตังค์ ก็ไม่ต้องไปคุย...เอาไว้ให้มีเงินก้อนอยู่มือซะก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่

.


"ตัวอย่าง"...ผู้ที่ใช้แนวทางของชมรมฯปลดหนี้ได้สำเร็จ

หมดหนี้แล้วค่ะ เพราะความช่วยเหลือจากสมาชิกทุกท่าน
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=40411&Itemid=64#43590

กว่าจะถึงวันนี้ วันหมดหนี้ เย้
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=0&func=view&id=37654&catid=5

หมดหนี้หมดสินกันซะทีครับวันนี้
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=0&func=view&id=37058&catid=5

หมดหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อทั้งหลายแล้วค่ะ
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=5&id=6360

จบสิ้นกันที...หนี้ (เน่า) ที่รัก
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=432&Itemid=29

หมดหนี้อีกราย
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=3077&Itemid=29

หยุด 8 เดือน ปิดได้ 4 ใบ พร้อมขึ้นศาล 1 ใบจ้า
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&func=view&catid=2&id=49943

ความสุข เมื่อหมดหนี้
www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=0&func=view&id=42914&view=flat&catid=5

1ปี10เดือน สรุปเส้นทางปิดหนี้กอบัวทุกสถาบัน
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=1099&Itemid=29

ในที่สุดเราก็มีเราวันนี้จนได้... ขอบคุณจริงๆ เป็นไทซะที
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=18829&Itemid=29

เป็นไทแล้วครับ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=6869&Itemid=29

เส้นทางการปิดหนี้ของ 9 บัญชี
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=1349&Itemid=29

ขอบคุณwebนี้+คุณนกกระจอกเทศและเพื่อนๆทุกคนค่ะ
consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=0&func=view&id=2112&catid=2

ลำนำ แห่งหนี้ มาได้ ก็จากได้ อย่าได้แคร์
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=24066&Itemid=52

ขอมอบกำลังใจแด่ทุกคนที่ยังต่อสู้กับหนี้ค่ะ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=24835&Itemid=52

ประสบการณ์"ปลดหนี้"ตามแนวทางชมรม... (ของพี่ mom23)
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=2393&Itemid=29

วันนี้ก็มาถึง
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=33840&Itemid=52

4 ปีกับการทุกข์ทรมาณ แต่ตอนนี้ ...หมดหนี้แล้ว (โว้ยยยยยย ^^)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=29211&Itemid=52

และแล้ว หนี้บัตรก็เป็น 0
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=18253&Itemid=52

ต้องหยุด ถ้าไม่หยุด ไม่มีฟ้าหลังฝนแน่
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=25785&Itemid=64

ขึ้นศาล Citi advance วันที่ 21 ธ.ค 54
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=236&Itemid=52

มาได้ครึ่งทางแล้วค่ะ เหลืออีกครึ่งทาง เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=19069&Itemid=29

ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีหนี้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=35293&Itemid=52

ใกล้เป็นไทแล้ว กับ ไถธนาคาร
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=17513&Itemid=29

ขอเล่าเรื่องหนี้ที่ใกล้จะเป็นไท ด้วยนะครับ
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=16672&Itemid=29

ที่นี "Blog กำจัดหนี้"
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=16795&Itemid=29#16972

หนี้ KTC เจ้าหนี้รายสุดท้าย
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=12619&Itemid=29

แชร์ประสบการณ์ "ปลดหนี้" ตามแนวทางของชมรมฯ (ใกล้เป็นไท)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=29126&Itemid=52

TMB ยังเคี่ยวอยู่ไหมค๊ะ
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=9931&Itemid=52#17772

สบการณ์เป็นหนี้และกำลังหมดหนี้ภายในไม่ช้านี้
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=34667&Itemid=52

ลูกหนี้ เขียน:
ถาม : วันนี้เจ้าหนี้โทรมา บอกว่าจะลดหนี้ให้ เหลือ20000 จากยอด60000 เขาจะให้เราส่งเอกสารภาระหนี้สินทั้งหมด เอกสารรายรับและค่าใช้จ่าย พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน เขาจะได้เอาไปยื่นเรื่องขอส่วนลดให้ อย่างนี้ถ้าเราส่งเอกสารให้เขาจะมีปัญหาตามมามั้ยค่ะ

เหตุผลที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้ ต้องการให้ลูกหนี้ส่งเอกสารส่วนตัว เช่น 

- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือน
- และหลักฐานที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินอื่นๆ


ทั้งๆที่เอกสารส่วนตัวของลูกหนี้ ส่วนใหญ่ ทางฝ่ายเจ้าหนี้เองก็มีอยู่แล้ว
เพราะในตอนที่สมัคร บัตรเครดิต/สินเชื่อ มันก็บังคับให้ลูกหนี้ต้องถ่ายสำเนาเอกสารส่วนตัวต่างๆ แนบไปพร้อมกับใบสมัครด้วย มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถผ่านการอนุมัติได้...จริงไหม?

แต่ที่พวกมันต้องการให้ส่งไปใหม่อีกครั้ง...ก็เพื่อ

1. แอบเอาไปทำเป็นสัญญา ประนอมหนี้ , ปรับโครงสร้างหนี้ (สัญญานรก) โดยอ้างว่าทางตัวลูกหนี้ได้ยินยอมแล้ว จึงได้ส่งเอกสารเหล่านี้มาให้ฝ่ายเจ้าหนี้ เป็นผู้ดำเนินการให้แทน
วิธีป้องกันก็คือ ให้เขียนขีดคล่อม ด้วยข้อความประมาณว่า"เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ขอส่วนลดหนี้ กับธนาคาร xxxxxxx เท่านั้น"...ลงในสำเนาเอกสารทุกใบ ที่เป็นหลักฐานส่วนตัว

2. เพื่อนำไปพิจารณาให้เกิดกระบวนการ "เร่งรัด" การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา...เช่น พิจารณาลดหนี้ให้ ว่าสมควรจะลดให้ได้เต็มที่ ได้ที่เท่าไหร่?...และถ้าหากการเจรจาลดหนี้นั้น เกิดไม่สำเร็จ...ก็จะได้รีบตัดสินใจ "ฟ้องโดยด่วนที่สุด" ก่อนที่เจ้าหนี้รายอื่นๆ มันจะมาชิงฟ้องตัดหน้าเอาไปเสียก่อน

3. เพื่อทำการ Upadte ข้อมูลจากเอกสารต่างๆ ที่ทางลูกหนี้จัดส่งไปให้ เช่น บัตรประชาชน , ทะเบียนบ้าน , ที่ทำงาน...ว่าทางลูกหนี้ได้มีการโยกย้ายบ้านไปอาศัยอยู่ที่ใหม่หรือไม่? , ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ไหน? ...ที่อยู่ต่างๆของลูกหนี้ ณ.ปัจจุบัน ยังคงตรงกันกับข้อมูลที่ทางเจ้าหนี้จัดเก็บไว้หรือไม่?...เวลาทวงหนี้จะได้ตาม จิก , ข่มขู่ , ประจาน , กดดัน ได้ถูกต้องและตรงตัว...รวมทั้งการฟ้องและการส่งหมายศาลไปยังที่อยู่ของลูกหนี้(ตามมาตรา 17 ป.วิผู้บริโภค) จะทำได้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฏหมาย


1 ความคิดเห็น :

  1. สวัสดีทุกคนฉัน Faruk Yildirim ด้วยชื่อฉันกำลังเขียนคำพยานนี้เพราะฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆกับสิ่งที่ SUSAN JAMES LOAN FIRML COMPANY ทำเพื่อฉันและครอบครัวเมื่อฉันคิดว่าไม่มีหวังว่าเธอจะมาและทำให้ครอบครัวของฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้งโดยการให้ยืม เราเงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก 3% ดีฉันได้รับการค้นหาเงินกู้เพื่อชำระหนี้ของฉันสำหรับที่ผ่านมาสองเดือนทั้งหมดที่ฉันได้พบ scammed และเอาเงินของฉันจนฉันได้พบกับพระเจ้าผู้ให้กู้. Text Me:+1(386)259-8202 Or Website: https://susanjamesloanfirm.wixsite.com/loan-officer Email: susanjamesloanfirml07@gmail.com Or susanjamesloanfirml07@outlook.com

    ตอบลบ

 
JUNCTION X © 2013. All Rights Reserved. Powered by Blogger
Top